นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้นำรัฐบาล และผู้กุมเสียงข้างมากในรัฐสภา ในปัจจุบัน ที่มีเสียงสนับสนุนเกินครึ่งอย่างเฉียดฉิว หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่า เสียงปริ่มน้ำ
เดิมฝ่ายรัฐบาลมีเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎร 254 เสียง ต่อมามีปัญหาในเรื่องความน้อยอกน้อยใจ ของพรรคเล็กพรรคน้อย ที่ไม่ได้รับความสำคัญจากรัฐบาลเท่าที่ควร โดยเฉพาะนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์กับพวก ทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีเสียงสนับสนุนเหลืออยู่เพียง 249 เสียง
ในขณะที่ฝ่ายค้านเดิมมี 246 เสียงที่แน่นอน และหากรวมฝ่ายค้านอิสระอีก 5 เสียง ซึ่งไม่แน่นอนว่า สนับสนุนฝ่ายใดกันแน่ ฝ่ายค้านทั้งหมดอาจมีเสียงรวมกันเป็น 251 เสียง เกินครึ่ง มากกว่าเสียงสนับสนุนของรัฐบาลเสียด้วยซ้ำ
ในที่สุดสภาพรัฐบาลที่มีเสียงปริ่มน้ำ ได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งมีการพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับข้อ 9 (1) หน้าที่และอำนาจประธานสภาผู้แทนราษฎร
ในประเด็นนี้ ฝ่ายค้านต้องการให้เพิ่มข้อความว่า และเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งหมายความว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาล ไม่ต้องการให้เพิ่มข้อความนั้น
ตามข้อเท็จจริง แม้จะไม่มีข้อความดังกล่าว ตามหลักสากลประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องวางตัวให้เป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว
แต่ที่ฝ่ายรัฐบาลไม่ต้องการให้มีข้อความนี้ เพียงเพื่อไม่ให้เป็นประเด็น ที่ฝ่ายค้านจะทัดทานการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น
ในการลงมติฝ่ายรัฐบาลมี 204 เสียง ที่ไม่ให้เพิ่มข้อความ ฝ่ายค้านมี 205 เสียง ที่ให้เพิ่มข้อความ งดออกเสียง 2 เสียงซึ่งได้แก่ประธาน และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ปฏิบัติหน้าที่ดำเนินการประชุมในขณะนั้น ถือได้ว่า ฝ่ายรัฐบาลแพ้ไปอย่างเฉียดฉิวเพียง 1 เสียง
หลังการลงมติ ได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาล เสนอให้นับคะแนนใหม่ เนื่องจากเกรงว่าอาจมีการนับคะแนนผิดพลาด นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่อนุญาต นับว่าได้วางตัวเป็นกลาง สมกับข้อบังคับที่ลงมติ
หลังจากนั้นเพียง 6 วัน ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ข้อ 13 (1) ว่าด้วยการพ้นตำแหน่งของคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร สภาสิ้นอายุ หรือ สภาถูกยุบ หรือไม่มีสภาเพราะเหตุอื่นใด
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านต้องการให้ตัดข้อความว่า หรือไม่มีสภาเพราะเหตุอื่นได้ เนื่องจากอาจสื่อได้ว่า เป็นผลจากการปฏิวัติรัฐประหาร
ผลการลงมติ 234 เสียง เห็นด้วยที่ให้ตัดข้อความดังกล่าวตามฝ่ายค้าน 223 เสียง ให้ถือข้อความในร่างเดิม ซึ่งเป็นความเห็นของฝ่ายรัฐบาล งดออกเสียง 2 เสียง ซึ่งเป็นประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ปฏิบัติหน้าที่ดำเนินการประชุมในขณะนั้น เท่ากับฝ่ายรัฐบาล แพ้ไป 11 เสียง
โดยหลักทั่วไป เมื่อฝ่ายรัฐบาลแพ้การออกเสียงลงคะแนน หรือแพ้โหวต ในสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายรัฐบาลจะต้องลาออก
แต่ในกรณีนี้ ถือเป็นกรณีพิเศษ เพราะไม่ได้เป็นการพิจารณาร่างกฎหมาย แต่เป็นเพียงการพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นเรื่องความเห็นของกรรมาธิการร่างข้อบังคับ ฝ่ายข้างมาก และฝ่ายข้างน้อย
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยฝ่ายรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง ในการควบคุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่ให้ออกเสียงลงคะแนน แพ้ฝ่ายค้านอีก
ข้ออ้างต่างๆ ไม่ว่า จะเป็นระบบกระจายเสียงในรัฐสภาไม่ดี เรื่องที่พิจารณา ไม่ใช่กฎหมายสำคัญ ล้วนเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น
ประเด็นสำคัญอยู่ที่จิตสำนึกและความรับผิดชอบ ของสมาชิกสภาผู้แทนฝ่ายรัฐบาลต่างหาก
หากฝ่ายรัฐบาลแพ้การออกเสียงในเรื่องสำคัญ หรือในกฎหมายที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชบัญญัติงบประมาณแผ่นดิน รัฐบาลต้องลาออก ตามวิถีทาง ระบอบประชาธิปไตยแล้ว บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ขาดประชุม จะรับผิดชอบอย่างไร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี