นับจากที่กรมการขนส่งทางบกได้ออกประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง กำหนดคุณลักษณะของเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางจีพีเอส (GPS) และกำหนดประเภทและลักษณะของรถที่ใช้ในการขนส่งที่ต้องติดตั้งเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถจีพีเอส ทำให้ในปัจจุบันมีรถ 4 ประเภท ที่กฎหมายบังคับให้ติดตั้งเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางจีพีเอส คือ (1) รถรับจ้าง (2) รถบรรทุก(3) รถตู้โดยสาร และ (4) รถโดยสารขนาดใหญ่ มีการเชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับศูนย์บริหารจัดการเดินรถของกรมการขนส่งทางบก โดยจัดเก็บข้อมูล เช่น ข้อมูลการใช้ความเร็ว ชั่วโมงการขับขี่และตำแหน่งพิกัดของรถ เพื่อกำหนดมาตรการในการป้องกันและลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุก
เครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางจีพีเอส ช่วยให้ผู้ประกอบการขนส่ง สามารถติดตามพฤติกรรมผู้ขับรถอันเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารการขนส่งทางบกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
จากข้อมูลของกรมขนส่งทางบก เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 รถที่ติดตั้งระบบจีพีเอส เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลกับศูนย์บริหารจัดการเดินรถระบบจีพีเอส ประกอบไปด้วยรถโดยสารประจำทาง 19,157 คัน รถโดยสารไม่ประจำทาง61,322 คัน รถบรรทุกไม่ประจำทาง 131,365 คัน รถบรรทุกส่วนบุคคล 150,502 คัน รถอื่นๆ 29,557 คัน
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2562 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีนโยบายที่จะเพิ่มประเภทของรถที่จะติดตั้งจีพีเอส คือ รถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ โดยเชื่อว่าหากติดตั้งจีพีเอส จะทำให้มีการควบคุมความเร็ว ซึ่งสามารถลดอุบัติเหตุ ทั้งยังช่วยลดอาชญากรรม ประกอบกับราคาจีพีเอส ที่จากเดิมราคาเครื่องละ 10,000 กว่าบาท ปัจจุบันอุปกรณ์ลดลงเหลือ 3,000 บาท ค่าบริการจีพีเอสรายเดือนจากเดิม 500-700 บาท ลดเหลือ 300 บาท ทั้งนี้จะเริ่มจากรถที่จดทะเบียนใหม่ก่อน ส่วนรถเก่า จะมีมาตรการค่อยๆบังคับใช้ต่อไป พร้อมได้มอบนโยบายนี้ให้แก่กรมการขนส่งทางบกไปทำการศึกษาความเป็นไปได้ ตลอดจนข้อกฎหมายต่างๆ รวมถึงจะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่ มีกรอบเวลาให้เสร็จภายใน 1 ปี
นโยบายนี้มีฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฝ่ายที่เห็นด้วยเชื่อว่า การติดตั้งจีพีเอส จะช่วยลดอุบัติเหตุและอาชญากรรม แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยได้วิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลอย่างกว้างขวาง เพราะค่าของเงิน 300 บาทในแต่ละคนย่อมต่างกัน ผู้มีรายได้ต่อเดือนสูง นักธุรกิจ อาจมองว่าไม่ได้สร้างภาระมากนัก แต่สำหรับบางคนการที่ต้องเสียค่าติดตั้ง 3,000 บาท และต้องจ่ายค่ารายเดือนอีกเดือนละ 300 บาท ถือเป็นการสร้างภาระให้ครอบครัวเพิ่มขึ้น
จากข้อมูลกรมการขนส่งทางบกเดือนกันยายน พ.ศ. 2562 รถยนต์ส่วนบุคคลทั่วประเทศมีประมาณ 8,800,000 คัน ถ้าติดจีพีเอส ค่าบริการรายเดือน 300 ต่อเดือน รวมเป็นเงิน2,640 ล้านบาท รถกระบะมีประมาณ 6,000,000 คัน รวมเป็นเงิน 1,800 ล้านบาท รถมอเตอร์ไซค์มีประมาณ20,000,000 คัน รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท จำนวนเงินนี้ยังไม่รวมค่าติดตั้งจีพีเอส อีกคันละ 3,000 บาท ซึ่งจะเป็นค่าติดตั้งจีพีเอส รวมเป็นเงินสูงถึง 60,000 ล้านบาทประชาชน คือ ผู้ต้องเสียเงินจำนวนนี้ แต่ผู้ที่ได้รับเงิน ส่วนหนึ่งคงเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ ผู้ให้บริการระบบจีพีเอส ค่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่างๆ นอกจากนี้ รัฐบาลจะต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายสร้างศูนย์ควบคุมระบบ จีพีเอสขนาดใหญ่ สำหรับรถยนต์ทั่วประเทศ 34,800,000 คัน ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณอีกเป็นจำนวนมหาศาล
ข้อมูลกรมการขนส่งทางบกเดือนกันยายน พ.ศ. 2562 ผู้ให้บริการระบบจีพีเอส มีจำนวน 171 ราย โดยอันดับแรกมีส่วนแบ่งตลาด ร้อยละ 12.32 อันดับสองร้อยละ 8.67 และอันดับสาม ร้อยละ 5.60
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ยังพิจารณาว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนตัว ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้บัญญัติชัดเจนว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการเดินทางและการเลือกถิ่นที่อยู่ บุคคลย่อมเดินทางไปไหนปราศจากการติดตาม”
หลายประเทศที่มีความล้ำหน้าด้านเทคโนโลยียังไม่ทำเพราะคงพิจารณาแล้วว่าเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ และยังละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การติดตั้งจีพีเอส กับรถทุกคันไม่ต่างกับผู้ต้องหาที่ติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring :EM) หรือที่เรียกกันว่า กำไลอีเอ็ม (EM)
ข้อมูลของมูลนิธิเมาไม่ขับ ที่ได้จัด 10 อันดับ สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุทางถนน มีดังนี้ (1) เมาสุรา (2) ขับรถเร็วเกินกำหนด (3) ตัดหน้ากระชั้นชิด (4) ทัศนวิสัยไม่ดี (5) หลับใน (6) ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร (7) แซงรถในที่คับขัน (8) โทรศัพท์ขณะขับรถ (9) บรรทุกเกินอัตรา (10) มีสิ่งกีดขวางบนถนน
ข้อมูลของมูลนิธิเมาไม่ขับสอดคล้องกับอีกหลายหน่วยงานที่เคยทำสถิติของอุบัติเหตุบนท้องถนน สาเหตุอันดับแรก คือ เมาสุรา หากพิจารณาจากสาเหตุอื่นด้วยแล้ว นโยบายการติดตั้งจีพีเอส รถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ คงตอบโจทย์ได้เพียงสาเหตุที่สอง คือ ขับรถเร็วเกินกำหนด
ทางแก้ปัญหาอุบัติบนท้องถนน สามารถทำได้โดยตรวจสอบอุปกรณ์ที่ใช้อยู่อย่างสม่ำเสมอ เช่น กล้องจับความเร็วที่ติดอยู่ สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่จุดไหนที่ควรติดเพิ่มควรรีบเร่งดำเนินการ สัญญาณไฟจราจรสร้างความสับสนหรือไม่ กวดขันให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามกฎจราจรใครฝ่าฝืนควรลงโทษให้เข็ดหลาบ หากผิดซ้ำซากหรือขั้นร้ายแรงควรยึดใบอนุญาตขับขี่
ในหลายประเทศการได้ใบอนุญาตขับขี่ไม่ใช่เรื่องง่ายประเทศอังกฤษ การสอบทฤษฎีในครั้งแรก จะมีคนสอบตกเกือบครึ่งหนึ่ง และผู้ที่ผ่านการสอบทฤษฎี จะไปตกรอบปฏิบัติอีกประมาณร้อยละ 10 โดยการสอบภาคปฏิบัติบนท้องถนนจริงๆ ประเทศเยอรมนี ก่อนการสอบภาคทฤษฎีและสอบภาคปฏิบัติ ผู้สมัครต้องผ่านการทดสอบทางสายตาและหลักสูตรการปฐมพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการสอบใบอนุญาตขับขี่เป็นเงินไทยจำนวนหลายหมื่นบาท ทำให้ผู้ได้รับใบอนุญาตขับขี่ต้องระมัดระวังในการขับขี่ เพราะกลัวว่าจะโดนยึดใบอนุญาต
การสนับสนุนให้ติดกล้องหน้ารถยนต์ ย่อมมีส่วนช่วยให้ลดอุบัติเหตุ ทำให้ผู้ขับขี่ใช้ความระมัดระวังมากขึ้น เพราะกล้องสามารถเก็บพยานหลักฐานได้ การเรียกร้องค่าสินไหมชดเชยจากบริษัทประกันเป็นไปได้ง่าย
ข้อมูลกรมการขนส่งทางบกเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 พบว่า ยังมีรถที่ต้องติดตั้งจีพีเอส คือ รถประจำทาง21,238 คัน รถไม่ประจำทาง 67,586 คัน รถบรรทุกไม่ประจำทาง 138,846 คัน รถบรรทุกส่วนบุคคล 256,219 คันรวมรถที่ต้องติดตั้งจีพีเอส มีจำนวน 483,889 คัน ที่กรมการขนส่งทางบกควรจะเร่งรีบดำเนินการให้ทันกำหนดการตามกฎหมาย
การกำหนดนโยบายใดๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ สมควรจะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้อย่างรอบคอบ เพราะโครงการขนาดใหญ่ล้วนมีผู้ได้รับประโยชน์มหาศาลอยู่เบื้องหลังเสมอ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี