nn ผลจากสงครามทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศต่างๆ ทั่วโลกและสำนักวิชาการทางด้านเศรษฐกิจสำคัญของโลก....ทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)...ธนาคารโลก....ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย(ADB) ฯลฯ ต่างก็ออกรายงาน World EconomicOutlook...ไปในทิศทางเดียวกัน คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้าที่ชะลอตัวลง และอาจจะลงมาอยู่ในจุดที่ต่ำสุดในรอบหลายสิบปี
จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงทั่วโลกประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก ต่างก็ต้องเร่งระบายสินค้าออกนอกประเทศ เนื่องจากความความต้องการในประเทศลดต่ำลง...โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเหล็ก...เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดเจนมากที่สุดตอนนี้ที่ประเทศผู้ลิตรายใหญ่ของโลกเร่งระบายสินค้าออกนอกประเทศ...แน่นอนอันดับหนึ่งคือ ประเทศจีน...ตามมาด้วยประเทศเกาหลีใต้ ที่ตอนนี้ความต้องการใช้เหล็กซบเซาตามภาวะเศรษฐกิจและการชะลอตัวลงของอุตสาหกรรมรถยนต์ ทำให้ผู้ผลิตเกาหลีใต้ต้องเพิ่มความสำคัญกับการส่งออกมากขึ้น และ ล่าสุด อีกหนึ่งผู้ผลิตเหล็กใหญ่ของโลกอย่างประเทศอินเดีย ซึ่งขณะนี้กำลังประสบปัญหาสินค้าคงคลังเกินความต้องการของตลาดในประเทศจึงต้องเร่งส่งออกเพื่อลดสินค้าคงคลังลง...นอกจากนี้ ยังมีประเทศผู้ผลิตรายอื่นๆ ที่เร่งระบายเหล็กออกนอกประเทศ ไม่จะเป็นไต้หวัน เวียดนาม กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก หรือแม้แต่ประเทศในตะวันออกกลาง
แน่นอนว่าเป้าหมายการระบายเหล็กคือกลุ่มประเทศในอาเซียนโดยเฉพาะประเทศไทยนั่นเอง...จากตัวเลขของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่า ในปี 2561 ประเทศไทยมีปริมาณการนำเข้าเหล็ก เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปี 2560 และช่วง 8 เดือนแรก ของปี 2562 ปริมาณเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี’61โดยกลุ่มสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมากและผิดปกติคือ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน เหล็กเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อน เหล็กเคลือบสังกะสีด้วยไฟฟ้า และเหล็กเคลือบอื่นๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือผู้ผลิตเหล็กในประเทศกำลังจะตาย เพราะตอนนี้ใช้กำลังการผลิตเพียงแค่ 30% เท่านั้นเอง
ต้องบอกว่าในช่วงต่อจากนี้ประเทศไทยจะเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความต้องการใช้เหล็กมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ เนื่องจากในแผนยุทธศาสตร์ชาติจะต้องมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมาก ทั้งรถไฟรางคู่รถไฟความเร็วสูง โครงการขยายท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังและมาบตาพุด ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง และอีกหลายโครงการก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ อีอีซี ฯลฯ....เฉพาะการลงทุนของรัฐก็มากกว่า 2 ล้านล้านบาทรวมของเอกชนที่จะเกิดขึ้นตามมาก็อีกมากมายมหาศาล...
ก่อนหน้านี้ประเทศไทยก็เป็นแหล่งใหญ่ที่เหล็กจีนเข้ามาถล่มตลาดอย่างหนักอยู่แล้ว และด้วยปัจจัยที่ไทยกำลังมีต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้น นึกภาพไม่ออกเลยว่าเหล็กจากทั่วโลกจะแห่เข้ามาถล่มตลาดไทยมากมายขนาดไหน....ประเด็นมันอยู่ที่เหล็กนำเข้าทั้งหลายไม่ได้เข้ามาแบบตรงไปตรงมา...ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ ตรวจพบว่า มีการ “ทุ่มตลาด” เกือบจะทุกชนิด...จึงต้องประกาศใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti Dumping : AD) เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ...แต่ผลสำเร็จเป็นอย่างไรก็ลองดูที่ตัวเลขการนำเข้าช่วงที่ผ่านก็แล้วกันว่ามาตรการ AD มันเอาอยู่ไหม...
ถามว่าแล้วทำไมมาตรการ AD จึงยับยั้งการทุ่มตลาดไม่ได้...??? คำตอบคือมีการพยายามหาช่องทางต่างๆ มาหลบเลี่ยงมาตรการ AD…เช่นการใช้ช่องว่างช่องโหว่ของ พระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ 2542ในประเด็น “การได้มาซึ่งราคา”....ดัดแปลงสินค้าเพียงเล็กน้อย (Slight modification) ที่เจอบ่อยก็คือ การเจือธาตุบางชนิดลงไปในเหล็กเพื่อหลบเลี่ยงให้สินค้าเปลี่ยนจากพิกัดเหล็กเป็นอัลลอย...การส่งสินค้าผ่านประเทศที่ไม่ถูก AD (Transshipment) เช่น เวียดนาม แล้วส่งออกมายังไทยอีกต่อหนึ่ง....การส่งสินค้าผ่านผู้ส่งออกที่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าของบริษัทตนเอง (Channeling)...และสุดท้ายคือการนำเข้ามาประกอบในประเทศไทย (Completionและ Assembly operation) โดยนำสินค้าที่โดน AD ที่ยังทำไม่สำเร็จมาประกอบให้สำเร็จในไทยหรือประเทศอื่นที่ไม่ถูกเก็บอากร และการนำชิ้นส่วนของสินค้าที่ถูกใช้ AD ที่ผลิตจากประเทศที่ถูกใช้ มาตรการ มาประกอบเป็นสินค้าในไทยหรือประเทศอื่นที่ไม่ถูกเก็บอากร.....
ดังนั้น ด้วยเหตุที่มาตรการ AD ยังพบช่องโหว่ (รูใหญ่หลายรูด้วย)...ทำให้ไทยจึงมีความจำเป็นต้องใช้ กฎหมายการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการทางการค้า (Anti Circumvention : AC) ปี 2562 เพื่ออุดช่องโหว่ที่ว่านี้ !! แต่ถึงกระนั้นก็มีประเด็นที่ต้องคิดอีก.....เพราะการได้มาซึ่งข้อมูลของประเทศผู้ส่งออกหากเป็นข้อมูลเฉพาะรายบริษัท...อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบต้องไปหามาเอง...ต่างกับกรณี ของกฎหมาย AD ที่สามารถฟ้องร้องเป็นรายประเทศและหาข้อมูลของประเทศ
ส่งออกเป็นตัวแทนได้....เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ยื่นคำร้องจะไปหาข้อมูลมาได้อย่างไร เพราะเป็นข้อมูลความลับของแต่ละบริษัท หากนำมาใช้ก็โดนฟ้องแน่นอน....
ขณะนี้แม้ว่าประเทศไทยจะมี AD...Safeguard...และ AC แต่ตัวเลขนำเข้าก็ยังพุ่งไม่หยุดผู้ผลิตในประเทศ ไม่เคยมีการปรับราคาขึ้นตามอัตราอากรที่มีการบังคับใช้เลย....คำถามสำคัญก็คือสุดท้ายแล้ว ความต้องการใช้เหล็กของไทยที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนของรัฐจากนี้ 5 ปีข้างหน้า กว่า2 ล้านล้านบาท...ผู้ผลิตเหล็กในประเทศและผู้ประกอบการในประเทศไทยได้อะไรบ้าง...หรือสุดท้ายการก่อหนี้ครั้งนี้ก็เพื่อเป็นแหล่งระบายผลผลิตเหล็กส่วนเกินของต่างประเทศ....????
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี