นับว่าเป็นข่าวใหญ่โตที่สื่อต่างๆ และประชาชนค่อนประเทศพากันจับตามอง จากกรณีที่กรมป่าไม้ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) โดยมีกรมป่าไม้ เป็นประธานคณะทำงานตรวจสอบพื้นที่ที่ดิน ได้ทำการตรวจสอบที่ดิน 1,700 ไร่ ในจังหวัดราชบุรี ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่ครอบครองอยู่เพื่อเลี้ยงไก่ว่า มีแนวเขตอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และที่ดิน ส.ป.ก. จำนวนเท่าใด
จากการตรวจดังกล่าว พบว่าที่ดินส่วนหนึ่งรุกล้ำเข้าไปในเขตป่าไม้ ตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ประมาณ 16 ไร่ และเขตป่าสงวนแห่งชาติ 30 ไร่ รวมประมาณ 46 ไร่
ทางสส.หญิง ชี้แจงว่า ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ ในการครอบครองและใช้ประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว คงไม่สามารถฟังได้ เพราะที่ดินป่าไม้และป่าสงวนแห่งชาติไม่ใช่ที่ดินที่ใครจะครอบครองได้ การได้มาจึงผิดตั้งแต่แรก
ภ.บ.ท.5 เป็นแบบแสดงรายการที่ดินที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่ จะต้องไปยื่นแบบเพื่อชำระภาษีต่อเจ้าพนักงานประเมิน ณ สำนักงานอันเป็นที่ตั้งขององค์กรปกครองท้องถิ่นที่ที่ดินตั้งอยู่ ภ.บ.ท. 5 จึงมิใช่เอกสารสิทธิในที่ดินที่ออกตามประมวลกฎหมายที่ดิน การซื้อขายที่ดินที่มีเพียง ภ.บ.ท. 5 จึงเป็นการเสี่ยงภัยของผู้ซื้อเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15551/2553 ที่ดินพิพาทที่ซื้อขายกันเป็นที่ดินมือเปล่า (ภ.บ.ท.5) เจ้าของที่ดินมีเพียงสิทธิครอบครอง
ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 ที่บัญญัติว่า “ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดินก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่าหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ...”
การครอบครองของสส.หญิง ถือได้ว่าเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 ซึ่งจะมีบทกำหนดโทษ ตามมาตรา 31 คือ“ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 14 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 50,000 บาทในกรณีความผิดตามมาตรานี้ ถ้าได้กระทำเป็นเนื้อที่เกิน25 ไร่ ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 150,000 บาท”
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7892/2557 ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งต้องห้ามมิให้โอน การเข้ายึดถือครอบครองหรืออยู่อาศัยย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายซึ่งมีโทษตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 15 และมาตรา 31
สาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์อันร่วมกัน ไม่สามารถที่จะโอนให้แก่กันได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา การที่ผู้ซื้อและผู้ขายทำสัญญาซื้อขายที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ถือว่าเป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18476/2557 ที่ดินที่ซื้อขายกันอยู่ในเขตหวงห้ามเพื่อประโยชน์ในราชการทหาร สัญญาซื้อขายจึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย จึงตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับตั้งแต่วันทำสัญญา
ตาม พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หมายถึง การปรับปรุงเกี่ยวกับสิทธิ และการถือครองในที่ดินเพื่อเกษตรกรรม รวมถึงการจัดที่อยู่อาศัยในที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยรัฐนำที่ดินของรัฐ หรือที่ดินที่รัฐจัดซื้อ หรือเวนคืนจากเจ้าของที่ดิน ซึ่งมิได้ทำประโยชน์ในที่ดินนั้นด้วยตนเอง เพื่อจัดให้แก่เกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินของตนเอง หรือเกษตรกรที่มีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพ
เจตนารมณ์สำคัญตาม พ.ร.บ. การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 เพื่อให้เกษตรกรที่มีฐานะยากจนได้มีที่ดินทำกิน การที่ไม่อนุญาตให้ขายที่ดิน แต่ตกทอดทางมรดก เพื่อจะได้มีที่ดินทำมาหากินชั่วลูกชั่วหลาน ตาม พ.ร.บ.นี้ ผู้มีสิทธิได้รับการจัดที่ดินคือ (1) ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก (2) ผู้ประสงค์จะประกอบอาชีพเกษตรกรรม แต่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง โดยจะพิจารณาจาก (2.1) ผู้ยากจน (2.2) ผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรม (2.3) ผู้เป็นบุตรของเกษตรกร และ(3) สถาบันเกษตรกร หมายความว่า กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์
ส.ป.ก. เป็นหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินในที่ของรัฐ ส.ป.ก. จึงไม่ใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่อย่างใด การซื้อขาย ส.ป.ก.ถือเป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15711/2558 การที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมอบที่ดินพิพาทและอนุญาตให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน โจทก์คงมีแต่เพียงสิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเท่านั้น ดังนั้น นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองจึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามกฎหมาย ย่อมตกเป็นโมฆะ
สำหรับจำนวนที่ดินที่สามารถถือครอง จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมกำหนด คือ (1) ที่ดินไม่เกิน 50 ไร่ สำหรับเกษตรกร และบุคคลในครอบครัวเดียวกัน เพื่อใช้ประกอบเกษตรกรรม (2) ที่ดินไม่เกิน 100 ไร่ สำหรับเกษตรกร และบุคคลในครอบครัวเดียวกัน เพื่อใช้ประกอบเกษตรกรรม ประเภทเลี้ยงสัตว์ใหญ่ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศ (3) จำนวนตามที่คณะกรรมการ เห็นสมควรสำหรับสถาบันเกษตรกร(4) เป็นที่ดินของรัฐ และมีเกษตรกรถือครองอยู่แล้วเกินจำนวนที่กำหนด ก่อนเวลาที่คณะกรรมการ กำหนด(พ.ศ.2524) จัดให้ตามจำนวนที่เกษตรกรถือครองได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 100 ไร่
ในปัจจุบัน ที่ดิน ส.ป.ก.ทั่วประเทศมีจำนวน 40 ล้านไร่ ในจำนวนนี้ได้รับการจัดสรรให้เกษตรกรไม่ถึงครึ่งหนึ่ง และมีจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในความครอบครองของนายทุน ผู้มีอิทธิพล นักการเมืองท้องถิ่น รวมถึงข้าราชการระดับสูง
คงมีเค้าความจริง กรณีของสส.หญิง ชาวบ้านที่อยู่บริเวณดังกล่าวย่อมทราบดี แต่พูดอะไรไป อาจนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองและครอบครัว ความคับแค้นใจ ทำได้เพียงเขียนด้วยลายมือใส่ป้ายขนาดใหญ่ ติดไว้บริเวณที่ของสส.หญิง
คนรวย นักการเมือง ล้วนแต่ไม่มีคุณสมบัติความเป็นเกษตรกรและคนยากจน ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตามคำสั่งหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติที่ 36/2559 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559เรื่อง “มาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดิน ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบกฎหมาย” บุคคลใดที่ไม่มีคุณสมบัติในการถือครอง ต้องยึดพื้นที่คืนให้หมด เพื่อคืนที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ยากไร้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี