บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคจีไอ(ประเทศไทย)วิเคราะห์หุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB จากการที่ SCB ใช้ความพยายามอย่างมากในการบริหารจัดการหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวใน 2H62 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดการการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้ธนาคารได้ขายหุ้น SCBLife ออกไปเพื่อนำเงินมาตั้งสำรองก้อนใหญ่ คล้ายๆ กับเมื่อตอนที่ SCB ขายหุ้น SCC ออกไปเพื่อนำมาตั้งสำรองสำหรับกรณี SSI เมื่อปี 2558 ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะตั้งสำรองหนี้เสียก้อนใหญ่แล้ว แต่ส่วนสำรองหนี้เสียส่วนเกินซึ่งจะเป็นกันชนรองรับ NPL ในอนาคตของ SCB ก็ยังคงต่ำอยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท คิดเป็นแค่ 52% ของ NPL เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าของ BBL ที่มีสำรองส่วนเกินคิดเป็น 144% ของ NPL, ของ KBANK คิดเป็น105% ของ NPL และของ KTB คิดเป็น 63% ของ NPL
ผลประกอบการมีแนวโน้มผันผวน
ตัวเลข NPL ของ SCB เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงสองไตรมาสที่ผ่านมา โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 3.5% (จากเฉลี่ยแค่ 2% ในปี 2560-61) ในขณะที่สัดส่วน NPL ของ SME สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อบ้านก็เริ่มเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งด้วย ทั้งนี้จากปัจจัยเสี่ยงใหม่จากการระบาดของ coronavirus จากประเทศจีนจะส่งผลกระทบกับการบริโภคในประเทศ และรายได้ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะฉุดอัตราการขยายตัวของ GDP ใน 1H63 ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อคุณภาพสินทรัพย์ของ SCB มากกว่าธนาคารอื่นๆ เพราะสำรองส่วนเกินที่ต่ำจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองฯ (credit cost) สูงขึ้นเมื่อมี NPL ใหม่เกิดขึ้น
เพิ่มอัตราการจ่ายปันผลกระตุ้น
SCB การจ่ายเงินปันผลคงที่ 5.50 บาท/หุ้นมาตลอดห้าปีที่ผ่านมา(อัตราการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็น 46% ในปี 2561 จาก 43% ในปี 2560) ทั้งนี้ การที่ธนาคารขาย SCBLife เท่ากับเป็นการปลดปล่อยเงินทุนออกมาและทำให้สัดส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 เพิ่มขึ้น 1% เป็น 17% (สูงกว่าของ KTB ที่ 14.8% และของ KBANK ที่ 16.2% แต่เท่ากับของ BBL ที่ 17%) เราคิดว่า SCB มีศักยภาพที่จะจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นในระดับที่เกินกว่าปกติในปี 2562-2563 ได้ ทั้งนี้ SCB ประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 1H62 ที่ 1.5 บาท/หุ้น และยังจ่ายปันผลพิเศษอีก 0.75 บาท โดยยังไม่ได้ประกาศจ่ายปันผลงวด 2H62
ลดประมาณการกำไรปี 2563/64 ลง 9%/17%
เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2563/64 ลงเพื่อสะท้อนถึง1.การปรับลดสมมติฐาน NIM ลง 10bps/13bps จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2.การปรับลดอัตราการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมเป็น +3%/+3% 3.การปรับเพิ่ม credit cost ปี 2563/64 ขึ้นอีกปีละ 5bps ทั้งนี้ ในการประเมินมูลค่าหุ้น เราได้รวม discount จากการที่ธนาคารมีส่วนรองรับหนี้เสียต่ำกว่าธนาคารใหญ่อื่นๆ แล้ว โดยใช้ P/E ที่ 10.0x และ P/BV ที่ 0.9x (จากก่อนหน้านี้ที่ P/BV 1.0x) ดังนั้น เราจึงได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 111 บาท (จากเดิมที่ 128 บาท) แต่ยังคงคำแนะนำถือ
ปัจจัยเสี่ยงจากกรณีที่ GDP โตต่ำกว่า 2.4% ในปี 2562/63 ทำให้เกิดแรงกดดันให้ NPL ขยับสูงขึ้น
ที่มา : บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี