บ่อยครั้งที่จะได้เห็นข่าวแม่ที่คลอดลูกแล้วทิ้งตามสถานที่ต่างๆ หรือพบศพทารกแรกคลอด รวมถึงหญิงที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากการทำแท้งเถื่อน ที่สร้างความสะเทือนใจเป็นอย่างมาก
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 “หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูกต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”
มาตรา 302 “ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงรับอันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท”
จะเห็นได้ว่าทั้งหญิงและผู้ที่ทำให้หญิงแท้งลูกต่างมีความผิด ส่วนอัตราโทษมากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับผลภายหลังจากการทำแท้ง ว่าหญิงได้รับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย
อย่างไรก็ตาม มาตรา 305 ได้กำหนดข้อยกเว้นความผิดไว้ 2 กรณี คือ (1) กรณีการทำแท้งมีความจำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของหญิง และ (2) กรณีที่หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาตามที่กฎหมายกำหนด คือ ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ความผิดฐานเป็นธุระจัดหาบุคคลไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น และความผิดฐานพาบุคคลไปเพื่อการอนาจาร
นอกจากนี้ ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ ตามมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มีสาระสำคัญกำหนดให้แพทย์สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ในกรณีต่อไปนี้ คือ (1) กรณีหญิงมีครรภ์มีปัญหาสุขภาพกาย (2) กรณีหญิงมีครรภ์มีปัญหาสุขภาพจิต(3) เมื่อทารกในครรภ์มีความพิการอย่างรุนแรงหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคพันธุกรรมที่รุนแรง และหญิงนั้นมีความเครียด และ (4) กรณีหญิงถูกข่มขืน ทั้งนี้ แพทย์ที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวถือว่าได้กระทำตามมาตรา 305 ประมวลกฎหมายอาญา และถือว่าไม่มีความผิด
เมื่อพิจารณาประมวลกฎหมายอาญา ตาม 305 และข้อบังคับแพทยสภาฯ พบว่า เหตุยกเว้นความผิดฐานทำแท้งไม่ครอบคลุมถึงกรณีการตั้งครรภ์เมื่อไม่พร้อมเช่น การตั้งครรภ์ในวัยเรียน ตั้งครรภ์ที่เกิดจากความผิดพลาดของการคุมกำเนิด หรือการตั้งครรภ์ในขณะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ
ข้อมูลของสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัยพบว่าหญิงที่ท้องไม่พร้อม ในแต่ละปีมีนับแสนรายมีจำนวนมากที่ยุติการท้องโดยการทำแท้ง หรือคลอดแล้วทิ้ง หรือปลิดชีพชีวิตทารก
เมื่อมีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการทำแท้ง ส่วนมากจะพาดหัวข่าว ในทำนองว่า แม่ใจร้ายคลอดแล้วทิ้งหรือพบศพทารกที่แม่ใจยักษ์นำมาทิ้ง หรือพบซากทารกที่คาดว่าเกิดจากการทำแท้งเถื่อน กลายเป็นว่าทำให้ดูเหมือนว่าผู้หญิงเป็นผู้ผิดแต่ฝ่ายเดียว ทั้งที่การตั้งครรภ์ไม่ได้เกิดจากการกระทำของหญิงเพียงฝ่ายเดียว
ย้อนไปเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2561 ตำรวจเข้าตรวจค้นคลินิก “ศรีสมัยการแพทย์” ของพญ.ศรีสมัย เชื้อชาติ ถนนหัวหิน-หนองพลับ เขตเทศบาลเมืองหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อหาหลักฐานเชื่อมโยงกับซากทารกที่ถูกทำแท้ง แล้วยัดใส่ถุงดำมาทิ้งในถังขยะข้างร้านสะดวกซื้อ หมู่บ้านรวมสุข ถนนเลียบคันคลองชลประทาน เขตเทศบาลเมืองหัวหิน ได้มีการจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 302
ต่อมา พญ.ศรีสมัย เชื้อชาติ ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 กรณีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 และ 28 หรือไม่ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 305 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 มาตรา 28 และมาตรา 77 หรือไม่
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย โดยมติเสียงข้างมาก เห็นว่ามาตรา 301 ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 27 และ 28 และ มาตรา 305 ที่บัญญัติว่า “ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรา 301 และ 302 เป็นการกระทำของแพทย์ และ (1) จำเป็นต้องกระทำ เนื่องจากสุขภาพของหญิงนั้น (2) หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 276 มาตรา 277มาตรา 282 มาตรา 283 หรือมาตรา 284 ผู้กระทำไม่มีความผิด” นั้น ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 28 และมาตรา 77
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเห็นสมควรที่จะมีการปรับปรุงแก้ไข มาตรา 301 และมาตรา 305 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว โดยให้มีผลเมื่อพ้น 360 วัน นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
สำหรับมาตรา 27 และ 28 แห่งรัฐธรรมนูญฯ กำหนดว่า ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมเสมอกันในทางกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยความแตกต่างในเรื่องของถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ เพศ ภาษา สภาพทางกาย หรือสุขภาพ ส่วนมาตรา 77 กำหนดให้รัฐต้องจัดให้มีกฎหมาย หรือยกเลิกปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต โดยไม่ชักช้า เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อประชาชน
กรณีพญ.ศรีสมัย เชื้อชาติ ได้มีการฟ้องแพทย์หญิงที่ศาลจังหวัดหัวหิน ซึ่งต่อมาได้มีการยื่นคำร้องต่อว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 และมาตรา 305 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลจังหวัดหัวหินไม่มีอำนาจที่จะพิจารณา จึงต้องส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
แต่ถ้าเป็นกรณีของประเทศสหรัฐอเมริกา ศาลที่พิจารณาคดีมีอำนาจพิจารณาได้ โดยไม่ต้องส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
การแก้ไขกฎหมายทำแท้งไม่ให้เอาผิดแต่ฝ่ายหญิงเพียงฝ่ายเดียว และให้รวมถึงฝ่ายชายด้วยน่าจะมีส่วนช่วยลดการทำแท้ง และการป้องกันการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี