nn แม้ว่ารัฐบาลจะยังไม่ยอมรับเต็มปากเต็มคำว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้เข้าสู่ภาวะวิกฤติ...แต่นักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ และผู้ประกอบการที่ไม่ตกอยู่ในอาณัติของรัฐบาลต่างเห็นตรงกันแล้วว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้วิกฤติหนักหนาสาหัสกว่าช่วง วิกฤติต้มยำกุ้ง (ปี 2540) และวิกฤติเศรษฐกิจการเงินโลก (ปี 2551) เพราะนอกจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาอยู่แล้ว บวกกับผลกระทบจากภัยแล้งที่จะรุนแรงมากที่สุดในรอบ 40 ปี ก็จะถูกซ้ำเติมด้วยปัจจัยลบสำคัญอย่างการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำร้ายชีวิต และทำลายระบบเศรษฐกิจกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
จากข้อมูล ปัจจุบันนี้ วิกฤติการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยรุนแรงเป็นประวัติการณ์ เพราะจากจำนวนยอดผู้ติดเชื้อที่ยังคงเพิ่มขึ้นทั่วโลก ทำให้หลายประเทศใช้มาตรการปิดเมือง ปิดประเทศ ซึ่งในหลายประเทศนี้เป็นกลุ่มคู่ค้าและตลาดนักท่องเที่ยวของไทยประกอบกับประเทศไทยเองก็มีการยกเลิกจัดกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวมากมาย จนตัวเลขนักท่องเที่ยวผ่านสนามบินหลัก 5 แห่ง ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมจนถึงขณะนี้หดตัวถึง 65% และในไตรมาสสอง มีแนวโน้มที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะหายไปถึง 93% แม้จะประเมินว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวในไตรมาสสุดท้ายแต่ยังไม่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2563 ลดลงเหลือ 18 ล้านคน จากที่ตั้งเป้าหมายไว้31 ล้านคน หรือเท่ากับหดตัว 54.9%
ส่วนภาคการส่งออกก็เห็นสัญญาณการทรุดตัวควบคู่ไปกับภาคการท่องเที่ยวเช่นกันโดยเฉพาะส่งออกไปจีน ซึ่งคาดว่าครึ่งแรกของปี 2563 จะหดตัวถึง 16.8% โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบมาจากการปิดประเทศของประเทศจีน ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์และยางพารา นอกจากนั้น การส่งออกไปตลาดส่งออกอื่นที่เคยเป็นตลาดหลักของไทย เช่น สหรัฐฯ ยุโรปญี่ปุ่นและอาเซียน ก็มีแนวโน้มหดตัวเช่นกัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากซัพพลายเชนและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระดับวิกฤติ จนต้องปิดเมืองปิดประเทศ ดังนั้นภาพรวมการส่งออกของไทยหดตัวต่อเนื่องถึง 3 ไตรมาส และอาจจะกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงท้ายปี ทำให้มูลค่าส่งออกทั้งปี 2563 ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ(USD) หดตัวถึง 7.3%
นอกจากนี้ ปัญหาภัยแล้งครั้งใหญ่ในรอบ 40 ปี จะส่งผลให้รายได้ภาคเกษตรในปี 2563 ลดลง 10.5% คิดเป็นมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจัยที่กดดันการบริโภคภาคเอกชนซ้ำเติมจากความกังวลของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การบริโภคภาคเอกชนในปี 2563 มีแนวโน้มหดตัว 0.3% และปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น
เห็นปัจจัยลบที่หนักหนาสาหัสขนาดนี้แล้วลองมาค้นดูว่าพอจะมีปัจจัยหนุนอะไรที่จะพอเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยได้บ้างไหม...เหลียวซ้ายแลขวาตอนนี้ก็เห็นแต่เม็ดเงินของงบประมาณเท่านั้นเองซึ่งคาดกันว่าเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบในไตรมาสสอง ซึ่งมีโครงการที่ผ่าน TOR และลงนามแล้ว 3.5 แสนล้านบาท พร้อมเบิกจ่าย คาดว่าอัตราเบิกจ่ายปีงบประมาณ’63 อยู่ที่ 60% ซึ่งต่ำกว่าปี’62 ที่เบิกจ่ายได้ 70% ส่วนเม็ดเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจคาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายในระดับ 80% สูงกว่าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้การลงทุนภาครัฐโดยรวมขยายตัว 2%
หากประเมินความเสียหายจากโควิด-19โดยเฉพาะการหดตัวของภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก การบริโภคภาคเอกชน...คาดว่าวิกฤติไวรัสโควิด-19 ทำภาคธุรกิไทยสูญรายได้กว่า 5.13 ล้านล้านบาท (คิดเป็น 30%ของ GDP) และที่น่าห่วงที่สุดคือกิจการ SMEs รายย่อยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบหนักสุดจากการวิเคราะห์รายได้ที่คาดว่าจะเสียหายในกลุ่มธุรกิจขนาดต่างๆ โดยพิจารณาจากฐานข้อมูลโครงสร้างผู้ประกอบการธุรกิจทั่วประเทศจำนวน 3 ล้านราย ที่มีการจ้างงาน 16.3 ล้านคนพบว่าธุรกิจ SMEs รายย่อยจะมีรายได้ลดลง 1.7 แสนล้านบาท หรือลดลง 20.2% รองลงมาเป็นธุรกิจ SMEs รายเล็ก มีรายได้ลด 5.2 แสนล้านบาท หรือลดลง 12.5% ในขณะที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่รายได้จะลดลง 10-11% และผู้ประกอบการSMEs รายเล็กรายย่อยได้รับผลกระทบสูงสุด 10 อันดับแรก หลักๆ ได้แก่ กลุ่มการบริการ การขนส่ง ค้าปลีก และประเด็นที่น่าสนใจคือเป็นกลุ่มที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพียง 8.5 และที่สามารถเข้าถึงมาตรการได้มีจำนวน 1.2 แสนราย หรือคิดเป็นสัดส่วน 3.9%
ด้วยเม็ดเงินงบประมาณที่เบิกจ่ายได้ในระดับนี้เพียงพอต่อการพยุงเศรษฐกิจไทยปีนี้หรือไม่...ก็ต้องบอกอย่างนี้ว่า จากผลกระทบที่มีต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (มีน้ำหนักรวมกัน 70% ของ GDP)...เม็ดเงินเพียง 4-5 แสนล้านบาท ไม่อาจจะช่วยได้เลย....ดังนั้นอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยในปี 2563หดตัวถึง 3 ไตรมาส หรือกล่าวได้ว่าเป็นภาวะถดถอยทางเทคนิคในครึ่งปีแรก (หดตัว 2.3%) แม้ว่าอาจจะกลับพลิกฟื้นขยายตัวเป็นบวกในไตรมาส 4แต่ก็จะส่งผลให้ภาพเศรษฐกิจทั้งปี 2563 ยังคงเป็นทิศทางหดตัวที่ 0.8%...แต่ที่เป็นประเด็นสำคัญที่สุดของวิกฤติครั้งนี้ กลุ่มผู้ประกอบการรายเล็ก กลุ่มแรงงานอาชีพอิสระ เกษตรกรจะได้รับผลกระทบอย่างหนักและยากที่จะเข้าถึงเงินทุนและมาตรการของรัฐ...ต่างจากวิกฤติ 2 ครั้งก่อน ที่เป็นเรื่องของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่มีจำนวนกว่าและรับแรงกระแทกได้มากกว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้....และทุกครั้งที่วิกฤติทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อคนระดับล่างและคนหมู่มาก....สิ่งที่ตามมาก็คือปัญหาทางสังคม และอาชญากรรม...nn
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี