ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจาก “ไวรัสโคโรนา Corona Virus” หรือ “โควิด-19 COVID-19” ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน ล่าสุดจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสูงถึง 1.5 ล้านกว่าคน และเสียชีวิตประมาณ 9 หมื่นรายประเทศที่มีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนามากที่สุด คือ สหรัฐอเมริกาโดยมีผู้ติดเชื้อมากถึง 4 แสนกว่าคน
สหรัฐอเมริกา มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รองจากอิตาลีและสเปน จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยมีรวมยอดสะสมประมาณ 2,400 คน และเสียชีวิตประมาณ 30 ราย
หน่วยงานสาธารณสุขหลายประเทศต่างออกมาเตือนว่าเชื้อไวรัสโคโรนาจะแพร่กระจายทางละอองฝอย จึงควรปิดปาก ปิดจมูก เวลาไอ จาม ด้วยกระดาษทิชชู หรือต้นแขนด้านใน อย่าอยู่ในสถานที่แออัด ควรใช้วิธีการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา
ปัญหาที่ทั่วโลกต่างต้องเผชิญ คือ การขาดแคลนหน้ากากอนามัย ประชาชนต่างหากที่ซื้อหน้ากากอนามัยไม่ได้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยไม่มีการป้องกัน ตัวเลขผู้ติดเชื้อจึงเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งของผู้ติดเชื้อจะมาจากสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยด้วยไวรัสโคโรนาและขาดการป้องกันตนเอง แม้กระทั่งบุคลากรทางการแพทย์ยังต้องเผชิญกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนานั่นเป็นเพราะขาดหน้ากากอนามัย N95 และชุด PPE
บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน ผู้ผลิตหน้ากากรายใหญ่ที่ทั่วโลกรู้จักกันดี คือ 3M หรือชื่อเดิม คือ “Minnesota Mining and Manufacturing Company” อายุเกือบ 120 ปี มีฐานการผลิตใหญ่อยู่ที่จีน เนื่องจากค่าแรงถูก จีนจึงทำหน้าที่รับผลิตและส่งออก ทำให้จีนได้เรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตหน้ากากแบบต่างๆ ชุด PPE อุปกรณ์ที่ใช้ในการแพทย์ ตลอดจนสินค้าสุขอนามัยต่างๆ
เมื่อ 3M เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน ทั้งสหรัฐฯได้มีตัวเลขผู้ติดเชื้อในแต่ละวันเพิ่มสูงขึ้น การหาซื้อหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันไม่สามารถหาได้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้แก้ปัญหานี้โดยการใช้รัฐบัญญัติการผลิตเพื่อการป้องกันประเทศ พ.ศ.2493 (Defense Production Act of 1950) ที่ผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2493 ซึ่งเวลานั้นตรงกับสงครามเกาหลีและสงครามเย็น
กฎหมายนี้ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีสหรัฐฯในการสั่งเพิ่มหรือเร่งการผลิตวัสดุและผลิตภัณฑ์เพื่อความมั่นคงของชาติ และเพื่อเหตุผลอื่นๆ
รัฐบาลท้องถิ่นในกรุงเบอร์ลินของเยอรมนีได้ระบุว่า ทางการสหรัฐฯ ได้ดำเนินการยึดคืนหน้ากากอนามัย 3M ที่อยู่ระหว่างการส่งออกไปยังเยอรมนีจำนวน 200,000 ชิ้น เพื่อนำกลับไปใช้ในประเทศสหรัฐฯ ที่ส่งทางอากาศโดยผ่านประเทศไทย พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิบัติตามระเบียบการค้าสากล โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติขึ้นทั่วโลก ทั้งเยอรมนีเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ
ไม่เพียงแต่เยอรมนี ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังได้สั่งให้บริษัท 3M ในรัฐมินนิโซตา หยุดการส่งออกหน้ากากไปยังแคนาดาและละตินอเมริกา ทั้งที่แคนาดา ถือเป็นประเทศเมืองพี่ และประเทศเมืองน้องกับสหรัฐฯ ในอดีตไม่ว่าสหรัฐฯจะดำเนินการอะไร แคนาดาจะให้ความร่วมมือและสนับสนุนมาโดยตลอด
ช่วงกลางเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อเพียงหลัก 10 แต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2563 ยอดผู้ติดเชื้อสะสมมีประมาณ 2,400 คน ตัวเลขนับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น ทางรัฐบาลได้หามาตรการต่างๆ ป้องกัน เช่น การสั่งปิดสถานที่ที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด กำหนดเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน การเว้นที่นั่งในสถานที่ต่างๆ การแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ใช่ว่าหน้ากากอนามัยจะสามารถหาซื้อได้ง่าย ตามร้านขายยาแทบจะทุกร้านจะติดป้ายว่า หน้ากากหมด หลายคนจึงต้องหันไปพึ่งหน้ากากผ้า หรือการซื้อทางออนไลน์ ซึ่งมีราคาแพงมาก ทั้งๆ ที่เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ได้ประกาศให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุมและเมื่อวันที่ 5 มีนาคมพ.ศ. 2563 ได้ประกาศให้ผู้จำหน่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (Surgical Mask) ที่ผลิตภายในประเทศจำหน่ายปลีกในราคา (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) ไม่สูงกว่าชิ้นละ 2.50 บาท ทำให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องล่อซื้อตามที่ปรากฏให้เห็นในสื่อหลายครั้ง
ไทยเป็นประเทศที่เป็นฐานการผลิตสินค้าหลายอย่างหากรัฐบาลไทย จะดำเนินตามวิธีการของประธานาธิบดี โดนัลด์ทรัมป์ ได้หรือไม่
พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาถือได้ว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพของประชากร ตามพระราชกำหนดนี้ให้นายกรัฐมนตรี สามารถออกมาตรการเร่งด่วน เพื่อป้องกันหรือเยียวยาความเสียหาย
กรณีที่บริษัทในประเทศและบริษัทต่างประเทศในประเทศไทย ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือบริษัทที่ผลิตสินค้าตามลิขสิทธิ์ต่างประเทศตลอดจนบริษัทที่ผลิตสินค้าตามข้อตกลงสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations : ASEAN) ที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตหน้ากากอนามัย หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือวัสดุการแพทย์ทั่วไป เมื่อมีการส่งออกไปยังบริษัทผู้ว่าจ้างที่อยู่ต่างประเทศ รัฐบาลไทยควรใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยอนุญาตให้ส่งออกเพียงครึ่งหนึ่งเนื่องจากบริษัทเหล่านี้ ได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐบาลไทย เช่น ได้รับยกเว้นภาษีนิติบุคคล หรือเสียภาษีนิติบุคคลในอัตราต่ำยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร เป็นต้น
เหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องทางธรรมชาติ อีกครึ่งหนึ่งของสินค้าหน้ากากอนามัยที่ผลิตขึ้นดังกล่าว จึงควรสงวนไว้ใช้สำหรับคนในชาติหรือคนไทย บริษัทเหล่านั้นได้สิทธิพิเศษและประโยชน์จากประเทศไทย เมื่อประเทศไทยประสบปัญหาเดือดร้อน จึงต้องช่วยเหลือและสนับสนุนประเทศไทย
นอกจากนี้ กรณีที่มีการจับการขายหน้ากากอนามัยเกินราคา การยึดหน้ากากอนามัยที่เตรียมส่งออกไปยังต่างประเทศ ที่ไม่สามารถแสดงหลักฐานการส่งออกได้ เมื่อยึดสินค้าได้ ควรรีบดำเนินการตรวจนับ และทำบัญชี และทางรัฐบาลควรใช้พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 นำหน้ากากเหล่านั้นมาแจกจ่ายให้กับบุคลากรทางการแพทย์และบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง แทนที่ต้องยึดไว้เป็นของกลาง และต้องรอจนคดีถึงที่สุด จึงจะทำลาย
ขณะที่สถานการณ์ไวรัสโคโรนาแพร่ระบาด นับว่าเป็นเรื่องดีที่คนไทยมีน้ำจิตน้ำใจและไม่ทอดทิ้งกัน มีการรวมตัวระดมทุนช่วยกันซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่บางครั้งเข้าใจว่าอุปกรณ์นั้น คงจะมีประโยชน์ แต่แท้จริงแล้ว อุปกรณ์บางอย่างไม่ได้มาตรฐานตามที่แพทย์จะใช้ได้ ผู้บริจาคควรตรวจสอบคุณสมบัติสิ่งของที่จะซื้อมาบริจาคให้ชัดเจน เพื่อที่แพทย์และคณะทำงานจะได้ใช้ได้จริง
ถ้ารัฐบาลไทยใช้วิธีการตามข้างต้น ประชาชนชาวไทยย่อมหาซื้อหน้ากากอนามัยได้ง่ายขึ้น อีกทั้งจะได้ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจนเกินไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี