nn กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยแพร่รายงานประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ หรือ World Economic Outlook ฉบับใหม่ ภายใต้บทความโดยนักเศรษฐศาสตร์ของ IMF เรื่อง“ The Great Lockdown: Worst Economic Downturn Since the Great Depression”โดยระบุว่า วิกฤตการณ์ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งอื่นๆ เพราะมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบจากโรคระบาดที่มีต่อชีวิตและการดำเนินชีวิตของมนุษย์โดยปัจจัยส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การระบาดประสิทธิภาพของมาตรการควบคุมโรค และการพัฒนาวิธีการบำบัดรักษาและวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งทั้งหมดนี้คาดการณ์ได้ยากมาก
นอกจากนี้หลายประเทศต่างกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่หนัก ทั้งวิกฤติด้านสาธารณสุข วิกฤติการเงิน และการทรุดฮวบของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน โดยบรรดาผู้กำหนดนโยบายในประเทศต่างๆ กำลังวางมาตรการเพื่อเยียวยาภาคครัวเรือนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะล็อกดาวน์และชัตดาวน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มากเกี่ยวกับภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจว่าจะเป็นเช่นไรเมื่อเราออกจากภาวะล็อกดาวน์ครั้งใหญ่นี้แล้ว
ทั้งนี้จะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ Great Depression ที่ประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วกับประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนาจะเข้าสู่ภาวะถดถอยกันถ้วนหน้า โดยที่การฟื้นตัวของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วจะไม่ถึงจุดสูงสุดที่เคยทำไว้ก่อนเกิดโรคระบาดจนกว่าจะถึงปี 2022 เป็นอย่างน้อยขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกจะเติบโตที่อัตรา 4.7% ในปี 2021ส่วนออสเตรเลียก็จะเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1991 ด้วย และถึงแม้ประเทศจีนและอินเดียอาจรอดพ้นจากภาวะถดถอยได้อย่างหวุดหวิดในปีนี้ แต่ IMF คาดว่า GDP ของจีนจะโตชะลอลงเหลือ 1.2% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976 แต่เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวได้ดีในปีหน้าด้วยอัตราการเติบโตถึง 9.2% ขณะที่อินเดีย อีกหนึ่งประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ในกลุ่ม G20 จะเติบโตเพียง 1.9% ในปีนี้ก่อนจะพุ่งขึ้น 7.4% ในปี 2021
โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ยังมีอินโดนีเซียที่อาจรอดพ้นจากภาวะถดถอยอย่างหวุดหวิด แต่โตช้าลงเหลือ 0.5% ในปีนี้ และมีแนวโน้ม
ฟื้นตัวด้วยอัตราการเติบโตสูงถึง 8.2% ในปีหน้า
สำหรับสำหรับไทยคาดว่าเศรษฐกิจอาจติดลบถึง 6.7% ในปี 2020 ก่อนจะฟื้นตัวที่อัตรา 6.1% ในปี 2021 เช่นเดียวกับเศรษฐกิจมาเลเซียที่อาจหดตัว 1.7%
นอกจากนี้คาดหมายกันว่าจีนจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเอเชียให้ฟื้นตัวหลังวิกฤติโควิด-19 โดยขณะนี้รัฐบาลปักกิ่งได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่เป็นระลอก อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าการเติบโตของจีนยังต้องขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวในภูมิภาคอื่นๆ ของโลกด้วย และ IMF ระบุด้วยว่าทางกองทุน ได้จัดสรรเงินกู้ฉุกเฉินวงเงินรวม1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ซึ่งรวมถึงการบรรเทาหนี้ให้กับประเทศยากจน
IMF ระบุว่า เวลานี้มีสัญญาณบวกว่าวิกฤติสาธารณสุขจะสิ้นสุดลง เพราะหลายประเทศประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่กระจายของโควิด-19 จากมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) การตรวจหาโรคในวงกว้างขึ้น และการติดตามผู้คนที่ติดต่อสัมผัสผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนการรักษาและการคิดค้นวัคซีนก็คาดว่าจะสำเร็จเร็วกว่าที่คาดไว้ และในระหว่างที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนครั้งใหญ่เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้IMF แนะว่าภาครัฐและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรดำเนินมาตรการตอบสนองต่อวิกฤติทั้งในประเทศและระหว่างประเทศที่ยกระดับทั้งขนาดและความรวดเร็ว โดยสิ่งสำคัญคือความสอดคล้องระหว่างมาตรการสาธารณสุขที่รวมถึงการทำงานของบุคลากรแพทย์และมาตรการของผู้กำหนดนโยบายทั่วโลก เพื่อที่จะสามารถเอาชนะวิกฤตินี้ไปได้ร่วมกัน
โดยสรุป IMF ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับภาวะถดถอยครั้งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ในทศวรรษ 1930 สืบเนื่องจากวิกฤติการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกแทบหยุดชะงักลง ทำให้ในปีนี้เศรษฐกิจโลกจะหดตัว 3% ในปีนี้ จากเดิมที่คาดการณ์ในรายงานฉบับเดือนมกราคมว่าจะขยายตัว 3.3% และประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วในกลุ่ม G7 จะไม่สามารถหลีกพ้นจากภาวะถดถอยได้ในปีนี้ โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ จะหดตัว 5.9% ซึ่งเป็นการติดลบรายปีที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1946 หรือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับ สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น และแคนาดา ที่อาจหดตัว 5-7% ขณะที่เศรษฐกิจอิตาลีอาจติดลบเกือบ 10% ในปี 2020 ส่วนภาพรวมทั่วโลก IMF คาดว่า GDP จะเริ่มฟื้นตัวในปี 2021 โดยอาจเติบโตที่ระดับ 5.8% หลังติดลบ 3% ในปีนี้ หากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 บรรเทาลงในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2020 โดยตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้สูงกว่าระดับ 3.4%ในรายงานที่เผยแพร่ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ต้องย้ำว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเร่งปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยอย่างจริงจัง เพราะตอนนี้ 60% ของจีดีพี มาจากการส่งออก 15-20% มาจากการท่องเที่ยว ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยบวกจากภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นตัวหนุน ซึ่งทั้งการส่งออก และการท่องเที่ยว ก็มีส่วนสำคัญต่ออัตราการมีงานทำของแรงงานไทย ซึ่งอัตรา
การมีงานทำก็ส่งผลต่อการบริโภคในประเทศเช่นกัน และสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนไทยที่ต้องตกงานอยู่ในเวลานี้น่าจะเป็นภาพสะท้อนได้ดีว่า...ตัวเลขจีดีพี
ที่เติบโตเป็นบวกต่อเนื่องมาตลอด 5-6 ปีมานี้ไม่ได้การันตีถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทยได้เลย
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี