หลายคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรู้ตัวผู้กระทำผิด เพราะมีพลเมืองดีแจ้งเบาะแส การแจ้งเบาะแสถึงการกระทำผิด หรือพฤติการณ์ที่น่าสงสัยของบุคคลบางกลุ่มโดยเฉพาะคนในชุมชนย่อมเป็นหูเป็นตาที่ดี การแจ้งเบาะแสย่อมมีส่วนช่วยต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ในกรณีที่มีการแจ้งเบาะแส จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบข้อมูล ขยายผลหาตัวผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทำงานง่ายขึ้น แต่บางกรณีกลับกลายเป็นว่า ผู้แจ้งเบาะแสอาจเป็นผู้กระทำผิดในบางข้อหา
ย้อนไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เฟซบุ๊คเพจ“แหม่มโพธิ์ดำ” ที่มีการส่งต่อหรือแชร์เฟซบุ๊คของนายศรสุวีร์ภู่รวีรัศวัชรี หรือ “บอย” โพสต์ขายหน้ากากอนามัยว่า มี 5 ล้านชิ้น ราคา 14 บาทต่อชิ้น หนา 3 ชั้น ใช้ในทางการแพทย์ และยังมีหน้ากากอนามัยอีก 200 ล้านชิ้น ขายลอตละ 1 ล้านชิ้น ขอให้มีเงิน สินค้าพร้อมจัดส่ง
ในสถานการณ์ที่เชื้อไวรัสโคโรนา กำลังแพร่ระบาด ทุกคนต่างต้องการหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ที่สามารถแพร่กระจายทางสารคัดหลั่ง ละอองฝอยจากการไอและจาม หน้ากากอนามัยจึงจำเป็นต่อบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไป แต่ปัญหา คือ ไม่สามารถหาซื้อหน้ากากอนามัยได้ หรือถ้าพอจะหาซื้อได้ ราคากลับแพงลิบลิ่ว
เมื่อแหม่มโพธิ์ดำได้ส่งต่อหรือแชร์เฟซบุ๊คดังกล่าว ทำให้เป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก เพราะหน้ากากอนามัยเป็นสิ่งที่หายาก แต่บุคคลในเฟซบุ๊คกลับมีหน้ากาก
พร้อมส่งถึง 200 ล้านชิ้น เรียกได้ว่า เพียงพอกับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
นายศรสุวีร์ได้ออกมายอมรับว่า ไม่มีหน้ากากจำนวนดังกล่าว ตัวเองเป็นเพียงนายหน้า ต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เชื่อว่าสิ่งที่นายศรสุวีร์สารภาพเป็นความจริง จึงได้ดำเนินคดีในความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (2)ฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชนโดยต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขยายผล จนได้จับกุมเครือข่ายกักตุนหน้ากากอนามัยในราคาเกินกว่ากฎหมายกำหนด และพบมีผู้ร่วมขบวนการกับนายบอย อีก 7-8 คน
ที่ทำตัวเป็นนายหน้าเก็งกำไร
คนจำนวนมากต่างชื่นชมการแฉข้อมูลเกี่ยวกับหน้ากากของแหม่มโพธิ์ดำว่า เป็นการกระทำที่ควรได้รับการยกย่อง เพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมา กลับต้องแปลกใจเมื่อมีการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ตรวจสอบการโพสต์ของแหม่มว่า เข้าข่ายการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14หรือไม่
ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) และ(2) ผู้ใดกระทำความผิด
(1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลนิวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์
อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา
(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
ม.14 (1) และ(2) มีโทษทางอาญา คือ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตอบข้อสงสัยของประชาชนว่า เมื่อคนมาร้องทุกข์กล่าวโทษ ถือเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องสืบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งชั้นสอบสวน อาจมีการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง โดยจะพิจารณาว่า(1) โพสต์ข้อมูลซ้ำจากบอย ซึ่งข้อมูลนั้นเป็นเท็จ (2) การโพสต์ของแหม่มโพธิ์ดำตั้งใจจะทำให้คนอื่นเสียหาย หรือไม่ ?
ความผิดตาม ม.14 (1) และ (2) มีโทษทางอาญาจึงต้องพิจารณาเรื่องเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นหลักทั่วไป ใช้บังคับกับความผิดอาญาในทุกเรื่อง มีหลักสำคัญ คือ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา เมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
แม้เเหม่มโพธิ์ดำได้นำข้อมูลเท็จของบอยมาส่งต่อหรือแชร์ แต่ในขณะที่ส่งต่อหรือแชร์ไม่ได้มีเจตนาที่จะนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เจตนาที่แท้จริงคือ ต้องการทำเพื่อประชาชน โดยเปิดโปงนายบอยว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน้ากากอนามัยที่ขาดตลาด ต้องการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ ทั้งไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ประชาชนตื่นตระหนกแต่อย่างใด
ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่มีปากกาวางปนกันอยู่หลายด้าม และมีผู้เผลอหยิบปากกาคนอื่นไป โดยที่คิดว่าเป็นของตนเอง ย่อมไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ เพราะขาดเจตนาลักทรัพย์ และเป็นเรื่องที่หลงผิดหรือเข้าใจผิด
แต่มีการกระทำบางประเภท ที่ผู้กระทำต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา กรณีนี้กฎหมายต้องบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ เช่น พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2460 มาตรา 242ที่เอาผิดกับบุคคลที่นำเข้ามาใน หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร โดยมีโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ทั้งนี้ตามพ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2460 มาตรา 252ได้บัญญัติอย่างชัดแจ้งว่า การกระทำผิดตามมาตรา 242 ให้ผู้กระทำต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
“กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” เจตนาเป็นเรื่องที่อยู่ภายในใจของผู้กระทำ ไม่มีใครจะทราบเดาได้ว่า คนนั้นคิดอะไร จึงถือหลักว่า “การกระทำที่แสดงออกมาภายนอกเป็นเครื่องชี้ถึงสภาพจิตใจของผู้กระทำ”
การที่ชาวเนตแห่ #saveแหม่มโพธิ์ดำ สามารถบอกนัยอันสำคัญได้ว่า แหม่มโพธิ์ดำมีเจตนาเช่นไร และมีความสำคัญอย่างไร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี