ย้อนไปเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2561 พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายพานทองแท้ ชินวัตร ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบการฟอกเงินตามพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9 และ 60 และพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฉบับที่ 5 พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และ 91 กรณีนายพานทองแท้ รับโอนเงินเป็นเช็คจำนวน 10 ล้านบาท และเข้าบัญชี โดยเงินนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำจากการทุจริตปล่อยเงินกู้สินเชื่อระหว่างธนาคารกรุงไทยกับกลุ่มกฤษดามหานครที่มีนายวิชัย กฤษดาธานนท์ ผู้บริหารกฤษดามหานคร กับนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ บุตรชาย และอดีตคณะผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ตกเป็นจำเลย คดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีนี้ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้จำคุกนายวิชัยและนายรัชฎา บุตรชาย คนละ 12 ปี
ในชั้นพิจารณา นายพานทองแท้ ให้การปฏิเสธต่อสู้คดีว่า ไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง เงิน 10 ล้านบาท เป็นส่วนที่จะร่วมลงทุนธุรกิจนำเข้ารถซุปเปอร์คาร์กับนายรัชฎา กฤษดาธานนท์
ศาลได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 พิพากษายกฟ้องนายพานทองแท้ พิเคราะห์และเห็นว่า เส้นทางการเงินเป็นไปด้วยความเปิดเผยไม่ปิดบัง หรือซุกซ่อน หรืออำพรางแต่อย่างใด เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ตลอดเวลา ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลภายหลังได้ ไม่ใช่เป็นการปกปิด หรืออำพรางการได้มา พฤติการณ์จึงยังเชื่อไม่ได้ว่า นายพานทองแท้ ได้เงินจากนายวิชัยมาจากการกระทำความผิด ในเมื่อไม่รู้ หรือเชื่อว่าไม่รู้ว่าเงินดังกล่าวมาจากการกระทำความผิด ทั้งนายพานทองแท้มีทรัพย์สินมากกว่า 400 ล้านบาท เงินจำนวน 10 ล้านบาทที่ได้รับมา หากเทียบแล้วคิดเป็นเงินเพียงร้อยละ 0.025 ของทรัพย์สินนายพานทองแท้ (แต่ด้วยความเคารพในคำพิพากษา น่าจะเป็นร้อยละ 2.5 ไม่ใช่ร้อยละ 0.025)
คดีนี้ มีองค์คณะผู้พิพากษา 2 ท่าน แต่มีความเห็นแย้งกัน หนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษา ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนเห็นว่า ควรพิพากษาลงโทษจำคุก 4 ปี และได้ทำความเห็นแย้งไว้ ขณะที่ผู้พิพากษาอีกท่านเห็นว่า ควรยกฟ้อง จึงต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 184 ที่มีหลักสำคัญ คือ ถ้าในปัญหาใดมีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่าย หรือเกินกว่าสองฝ่ายขึ้นไปจะหาเสียงข้างมากมิได้ ให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า
ดังนั้น ศาลจึงต้องมีคำพิพากษายกฟ้อง
ส่วนหนึ่งของความเห็นแย้ง กรณีเงินจำนวน10 ล้านบาท ที่นายพานทองแท้รับโอนมาจากนายวิชัย ท่านเห็นว่า การที่นายพานทองแท้เบิกความว่า ไม่เคยร่วมประกอบธุรกิจใดกับนายวิชัย จึงไม่มีเหตุที่นายวิชัยจะต้องโอนเงินจำนวนมากให้แก่นายพานทองแท้ แต่นายพานทองแท้ ได้รับโอนเงินดังกล่าวซึ่งไม่มีหนี้ต้องชำระตามข้อตกลงและการรับโอนเงินโดยไม่มีมูลหนี้จำนวนสูงย่อมเป็นการตอบแทนที่มิชอบด้วยกฎหมาย เป็นลักษณะเงินให้เปล่าเป็นค่าตอบแทนอย่างใดอย่างหนึ่งที่รู้เฉพาะนายวิชัย นายรัชฎา และนายพานทองแท้
ผู้พิพากษาที่ทำความเห็นแย้ง เห็นว่า นายพานทองแท้จึงรู้หรือควรรู้ว่าเงิน 10 ล้านบาท ที่ได้รับมาจากนายวิชัย เป็นเงินส่วนหนึ่งของสินเชื่อธนาคารกรุงไทยที่อนุมัติให้เครือกฤษดามหานคร จึงเป็นการกระทำความผิดฐานฟอกเงินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 5 (1) (2)
พนักงานอัยการได้ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์คำพิพากษา จำนวน 4 ครั้ง โดยในระหว่างการขอขยายอุทธรณ์ครั้งที่ 3 วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2563 พนักงานอัยการได้มีคำสั่งไม่อุทธรณ์ไปยังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อพิจารณาว่า จะมีความเห็นแย้งหรือไม่ และได้ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์คำพิพากษา เป็นครั้งที่ 4 ศาลอนุญาตถึงวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2563
หากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นว่า ไม่ควรอุทธรณ์ คดีจะถึงที่สุด แต่หากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นแย้ง จะส่งความเห็นแย้งไปยังอัยการสูงสุด เพื่อสั่งชี้ขาดว่าจะอุทธรณ์หรือไม่ ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งคณะทำงานพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะเนื่องจากเห็นว่า เป็นคดีที่มีข้อเท็จจริงสลับซับซ้อน
ส่วนมากคดีที่มีความเห็นแย้งพนักงานอัยการจะอุทธรณ์ โดยสามารถนำความเห็นแย้งของผู้พิพากษาประกอบสำนวนในการยื่นอุทธรณ์ แต่มีบางคดีที่พนักงานอัยการไม่สั่งฟ้องแม้พนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งฟ้อง
กรณีซาลาเปาเพื่อน้อง คดีนี้เกิดเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2542 พี่ชายวัย 16 ปี ทำงานขายซาลาเปาในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ได้หยิบฉวยซาลาเปาที่ขายไม่หมดและกำลังจะนำไปทิ้งหนึ่งลูก ต้องการให้น้องชายได้รับประทานเพื่อประทังความหิว และคิดว่า ถึงอย่างไรต้องนำซาลาเปาไปทิ้งห้างสรรพสินค้าได้ดำเนินคดีลักทรัพย์
นายสุชาติ ไตรประสิทธิ์ อัยการสูงสุด (ขณะนั้น)สั่งไม่สั่งฟ้องคดีนี้ โดยให้ความเห็นว่า “แม้เด็กคนนี้ จะมีเจตนาเอาทรัพย์ผู้อื่นไปโดยทุจริต แต่เมื่อมองถึงเจตนาแล้วเห็นว่า ทำไปเพื่อเอาไปให้น้องชายได้รับประทานให้คลายจากความหิวโหย แม้จะมีการกระทำครบองค์ประกอบความผิดทางอาญาแต่ต้องดูถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งเอาผิดกับผู้มีเจตนาจริงๆ การฟ้องฐานลักทรัพย์ หากเขาต้องติดคุกสังคมไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะเขาไม่ใช่คนร้ายโดยสันดาน แม้ศาลจะรอลงอาญา แต่กระบวนการยุติธรรมไม่ควรทำให้คนเช่นนี้ต้องมาแปดเปื้อนมีคดีติดตัว ให้มันจบในชั้นอัยการ อย่ามองว่าเด็กคนนี้เป็นอาชญากร เราไม่ควรเอาเขาไปติดคุก อัยการทำงานเพื่อสังคม ไม่ได้มองแค่ตัวบทกฎหมาย”
คดีของนายพานทองแท้ ชินวัตร ตอนเริ่มแรก กรมสอบสวนคดีพิเศษได้สอบสวนหลายครั้ง เพื่อตรวจสอบเส้นทางเงิน และได้ทำความเห็นสั่งฟ้องไปยังพนักงานอัยการ พนักงานอัยการตรวจสำนวนและมีการสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม จนได้ฟ้องคดีตอนใกล้จะหมดอายุความ
คดีนายพานทองแท้ พนักงานอัยการได้ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์หลายครั้ง แต่ในที่สุดกลับไม่อุทธรณ์ คดีนายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ทำธุรกิจด้านการเงิน จึงนับว่าเป็นคดีที่มีความสำคัญต่อความมั่นคง และเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่ประชาชนจะตั้งข้อสงสัย และยื่นหนังสือต่อสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอทราบเหตุผลรายละเอียดการไม่อุทธรณ์คดี
คงต้องติดตามต่อไปว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษจะเห็นด้วยกับพนักงานอัยการ หรือเห็นแย้ง และคดีนี้จะลงเอยเช่นไร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี