nn อย่างที่นำเสนอไปวานนี้ใน “หมุนตามทุน” ว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกปีนี้หดตัวอย่างรุนแรง...ฉุดอุปสงค์ทั่วโลกหดตัวอย่างหนักในทุกกลุ่มสินค้า...โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเหล็ก...จนทำให้ตลาดเหล็กโลกมีสต๊อกล้นตลาดจำนวนมหาศาล...ทำให้ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลกต้องเร่งหามาตรการเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมในประเทศของตน...ทั้งใช้มาตรการสนับสนุนทางภาษีในการส่งออก...การตั้งกำแพงภาษีหรือใช้มาตรการสกัดการนำเข้ามาอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น
อย่างกรณีของประเทศจีน ที่รัฐบาลปักกิ่ง...เพิ่มอัตราการชดเชยภาษีสำหรับการส่งออกสินค้าเหล็กอีก 3% (เพิ่มจาก 10% เป็น 13%)...สมาคมอุตสาหกรรมเหล็กของยุโรป (Eurofer) ได้ยื่นจดหมายต่อสหภาพยุโรป (EC) ทบทวนมาตรการจำกัดการนำเข้าที่เข้มงวดมากขึ้น เพิ่มเติมจากมาตรการ Global Safeguard ที่ใช้อยู่ รวมถึงการพิจารณามาตรการฉุกเฉินจำกัด การนำเข้า ซึ่งได้รับอนุญาตให้สามารถใช้ได้ตามข้อตกลง Article XXI ของความตกลง GATT 1994 ซึ่งเป็นข้อยกเว้นสำหรับการปกป้องผลประโยชน์ทางความมั่นคง (Security Exceptions)เนื่องจากมาตรการ Global Safeguard ที่ใช้อยู่ไม่ครอบคลุมสินค้าที่นำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา (undevelopedcountries)....สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าของสหรัฐฯ (AISI) และอีก 4 สมาคมเหล็กของสหรัฐฯ ขอให้สภาคองเกรสบรรจุแพ็กเกจการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในมาตรการฟื้นฟูผลกระทบจาก โควิด-19 โดยแพ็กเกจโครงสร้างพื้นฐานด้านการลงทุน ต้องระบุถึงการใช้วัสดุเหล็กและงานแปรรูปเหล็กที่ผลิตภายในประเทศ...ประเทศตุรกีประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กหลายรายการ ทั้งกลุ่มบิลเล็ต เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นเคลือบ เหล็กกล้าไร้สนิม เหล็กโครงสร้างรูปพรรณและเหล็กเส้น และท่อเหล็ก...ฯลฯ
สำหรับประเทศไทย...กลับทำตัวสวนทิศสวนทางกับชาวโลกเขา...ที่บอกเช่นนั้นก็เพราะทั้งที่อุตสาหกรรมเหล็กไทยที่อ่อนแอเพราะปัจจัยลบหลายด้านรุมเร้ามานานหลายปี...กระทรวงพาณิชย์ ก็ยังใช้มาตรการปกป่องอุตสาหกรรมในประเทศ...ที่เรียกได้ว่า “อ่อนปวกปียก” กว่าประเทศอื่นหลายขุม...เท่านั้นไม่พอยังเปิดประตูอ้าซ่าให้เหล็กนำเข้ามาทุ่มตลาดไทย จนผู้ประกอบการของไทยทนอยู่ไมได้...
โลกการค้า...จะยกตัวอย่างให้ดูเมื่อปี 2561 กระทรวงพาณิชย์..ได้ยกเลิกมาตรการปกป้องการทุ่มตลาด (AD) และมาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (SG) สำหรับเหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสังกะสี (GI) โดยให้เหตุผลว่ายังไม่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงที่ชัดเจน (ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผู้ผลิต GI เบอร์หนึ่งของไทยได้สั่งปลดพนักงานและลดกำลังการผลิตลงเพราะถูกเหล็กจีนทุ่มตลาดอย่างหนัก)...ผลปรากฏว่า เมื่อมีการยุติมาตรการ AD และ SGในไตรมาส 1 ของปี’61...ส่งผลเหล็ก GI จากจีนทะลักเข้ามาในไทยในปี 2561-2562 มีปริมาณสูงขึ้นจากปี 2560 อย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น จาก 550,000 ตัน(ปี’60) เป็น 765,000 ตัน (ปี’61) เพิ่มขึ้น 30% และ 1,100,000 ตัน (ปี’62)เพิ่มขึ้น 100%...จนในที่สุดในที่สุดผู้ประกอบการในประเทศที่มีทั้งสิ้น 8 ราย ต้องเผชิญภาวะขาดทุนอย่างหนักบางรายแบกต้นทุนที่สูงขึ้นไม่ได้และไม่สามารถแข่งขันกับการนำเข้ามาได้ก็ต้องเลิกกิจการ และเลิกจ้างพนักงานไปบางรายหันไปเป็นผู้นำเข้าแทน...ทำให้มีแรงงานในกลุ่มเหล็ก GI ตกงานนับพันคน กว่าพันกว่าครอบครัวเดือดร้อน และไม่มีรู้อีกกี่ปากกี่ท้องที่ต้องหิวโหย เมื่อหัวนาครอบครัวไร้งานทำ
เท่านั้นไม่พอ เมื่อไตรมาส 1 ปี 2562...กระทรวงพาณิชย์ก็ได้การยุติมาตรการ SG สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออัลลอยด้วยเหตุผลเดียวกับเหล็ก GI และปรากฏว่า หลังจากที่มีการยุติมาตรการปริมาณส่งออกสินค้าเหล็กเจืออัลลอยชนิดม้วนในปี 2562 เข้ามายังประเทศไทยของหลายประเทศมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเทียบกับปี 2561 เช่น เกาหลีใต้ ปริมาณส่งออกมายังไทยเพิ่มขึ้นจาก 77,000 ตัน เป็น 181,000 ตัน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นถึง 135% อินเดียปริมาณส่งออกมายังไทยเพิ่มขึ้นจาก 6,000 ตัน เป็น 32,000 ตันหรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นถึง 433% และจีน ปริมาณการส่งออกมาไทยเพิ่มขึ้นจาก 112,000 ตัน เป็น 139,000 ตัน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นถึง 24% ฯลฯ ทำให้ผู้ประกอบการของไทยต้องประสบกับปัญหาขาดทุนอย่างหนัก...ที่น่าเจ็บใจกว่านั้น...ประเทศเหล่านี้ล้วนใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างเข้มข้น เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศของตน...
นาทีนี้...โลกการค้า...จะบอกว่าวิบากกรรมรอบใหม่ของอุตสาหกรรมเหล็กของไทยกำลังคืบคลานเข้ามาอีกแล้ว...เพราะคณะอนุกรรมการ (ที่มีกรมการค้าต่างประเทศเป็นแกนหลัก) ของคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น(บอร์ดเซฟการ์ด) ที่มีรมว.พาณิชย์ เป็นประธาน...กำลังจะชงข้อเสนอให้บอร์ดเซฟการ์ด พิจารณายุติการใช้มาตรการ AD และ SG สำหรับเหล็กรีดร้อนที่ไม่เจืออัลลอย หรือที่เรียกกันติดปากว่า “เหล็กดำ”...แน่นอนก็ด้วยเหตุผลเดิมที่ยังเห็นความเสียหายที่รุนแรงชัดเจน และพ่วงด้วยข้ออ้างที่ว่า...เกรงว่าจะขัดกับข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) และจะถูกตอบโต้ทางการค้าจากประเทศที่ถูกใช้มาตรการ....
ทั้งที่จริงแล้วความเสียหายของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กจากการที่ไม่มีมาตรการคุ้มครองในช่วงวิกฤติ สงครามทางการค้า ช่วงปี 2561-2562 น่าจะเป็นตัวอย่างให้กับหน่วยงานที่ดูแลมาตรการทางการค้าเป็นอย่างดีและในช่วงที่มีวิกฤติโควิด-19 ผู้ประกอบการในประเทศได้รับความเดือดร้อนจากเศรษฐกิจในประเทศอยู่แล้ว ยังจะต้องมาเผชิญกับภัยจากสินค้านำเข้าจากประเทศจีน และประเทศอื่นๆ ที่กำลังคืบคลานเข้ามาอีก แบบนี้ย่อมส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงจนไม่อาจฟื้นคืนมาได้แน่นอน...ดังนั้นการบังคับใช้มาตรการใหม่ๆอย่างทันท่วงที เช่นกรณีการไต่สวนเอดีสินค้า GI ควรมีการบังคับใช้มาตรการฉุกเฉิน รวมถึงการคงไว้ซึ่งมาตรการคุ้มครองที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่นมาตรการเอดีสินค้าเหล็กสินค้าเหล็กลวดคาร์บอนสูง หรือมาตรการเซฟการ์ดเหล็กแผ่นรีดร้อน จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ภาครัฐต้องตระหนัก และให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันความเสียหายดังเช่นในอดีต…
โลกการค้า...ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอุตสาหกรรมเหล็กของไทยจึงถูกเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรขนาดนี้หนอ...สงสัยคณะอนุกรรมการ ชุดนี้ คงจะลืมไปว่า ตอนนี้ชาวโลกเขามุ่งจะปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศตัวเองเป็นหลัก...หรือคงจะลืมไปว่าอุตสาหกรรมเหล็กนั้นคืออุตสาหกรรมพื้นฐานสำคัญที่ทุกประเทศเขาก็ต่างปกป้องกันทั้งนั้น..สำหรับอุตสาหกรรมเหล็กของไทย เขาลงทุนกันไป 2-3 แสนล้านบาทมีการจ้างงานกว่า 1 แสนอัตรา....!! ไม่รู้ว่าพวกท่านจะนึกภาพออกไปไหมว่า ถ้าอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศต้องล้มครืนลง...ความเสียหายมันจะมากมายมหาศาลแค่ไหน อีก 1 แสนครอบครัว จะเดือดร้อน อีกกี่แสนปากท้องที่จะต้องอดอยาก....
ขณะนี้คนไทยเกือบ 10 ล้านคน ต้องตกงานเพราะพิษของโควิด-19...คนไทยหลายสิบล้านคนต้องมายืนเข้าแถวรอรับบริจาคอาหาร หลายสิบชีวิตต้องฆ่าตัวตาย
เพราะทนพิษคามยากจนไม่ไหว...ยังไม่ทำให้สำนึกได้เลยหรือว่าต้องทำทุกทางเพื่อให้รักษาการข้างงานไว้ได้มากที่สุด...ถึงขั้นนายกรัฐมนตรี ต้องส่งจดหมายไปถึงกลุ่มมหาเศรษฐีซึ่งมีกิจการในมือจำนวนมาก เพื่อร้องขอให้ไม่มีการปลดพนักงาน...แต่นี่ กระทรวงพาณิชย์ กำลังจะทำให้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยอยู่ไม่ได้ บีบบังคับให้ผู้ประกอบการของไทยต้องจำเป็นปลดพนักงาน...!! ถามจริงว่า...คิดไม่ได้ หรือไม่ได้คิด ???? ครับผม...
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี