หลายองค์กรได้ทำงานในรูปแบบ ทำงานที่บ้าน (Work from Home) เพื่อความปลอดภัยของบุคลากร และลดการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Meeting) จึงเป็นสิ่งจำเป็นในเวลานี้
การประชุมทั่วไป ผู้เกี่ยวข้องอาจต้องการแลกเปลี่ยนทัศนคติ ที่อาจเป็นการประชุมรายวัน รายสัปดาห์ เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง การประชุมลักษณะนี้ไม่ได้มีรูปแบบที่กฎหมายกำหนด หน่วยงานต่างๆ สามารถกำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ตามที่เหมาะสมได้
การประชุมอีกประเภทที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีการประชุม เพื่อให้มีผลทางกฎหมาย เช่น การประชุมกรรมการ อนุกรรมการ การประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 พ.ร.บ.สมาคมการค้า พ.ศ.2505 เป็นต้น การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ต้องทำตามที่กฎหมายกำหนด
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์1) พ.ร.ก.ว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.25632) ประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเรื่อง มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2557 3) ประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง แนวนโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2553
ตามพ.ร.ก.ว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์พ.ศ.2563 “การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์” หมายถึงการประชุมที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องมีการประชุมที่ได้กระทำผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้ร่วมประชุมมิได้อยู่ในสถานที่เดียวกันและสามารถประชุมปรึกษาหารือและแสดงความคิดเห็นระหว่างกันได้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
“ผู้ร่วมประชุม” หมายถึง ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ อนุกรรมการ เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือคณะบุคคลอื่น ตามที่กฎหมายกำหนด และให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งต้องชี้แจงแสดงความคิดเห็นต่อคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือคณะบุคคลนั้นด้วย
พ.ร.ก.ว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์พ.ศ.2563 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2563 ตามมาตรา 3 ให้ยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 74/2557 เรื่อง การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557
เดิมตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 74/2557 และคำชี้แจงกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เรื่อง การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ลงวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2559 กำหนดไว้ว่า ผู้ร่วมประชุม อย่างน้อย 1 ใน 3 ขององค์ประชุม จะต้องอยู่ในที่ประชุมเดียวกัน และต้องอยู่ในประเทศไทยสถานการณ์การแผ่ระบาดของไวรัสโคโรนา หลายบริษัทต้องเลื่อนการประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นออกไปอย่างไม่มีกำหนดเช่นเดียวกับหน่วยงานราชการต่างๆ ที่ไม่สามารถจัดประชุมได้อันมีผลต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
เงื่อนไขการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่ 1 ใน 3 ของผู้ร่วมประชุมต้องอยู่ในที่ประชุมแห่งเดียวกันและต้องอยู่ในประเทศไทย ทำให้ผู้ร่วมประชุมจำนวนหนึ่งอยู่ในสถานที่เดียวกัน มีความเสี่ยงที่จะติดโรคสูง อันไม่สอดคล้องกับการเว้นระยะห่างทางสังคม เมื่อประกาศ คสช. ฉบับที่74/2557 ถูกยกเลิก ทำให้ 1 ใน 3 ของผู้ร่วมประชุมไม่ต้องอยู่ในสถานที่เดียวกัน ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับสภาพการทำงานในสถานการณ์เช่นนี้
การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จะไม่ใช้กับการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา การประชุมเพื่อจัดทำคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล การประชุมเพื่อดำเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการ ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐ
การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ต้องทำตามมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ประธานในที่ประชุมหรือผู้ควบคุมระบบสามารถตัดสัญญาณเสียงหรือภาพ หรือหยุดการส่งข้อมูลได้ทันที หากมีเหตุจำเป็นหรือมีกรณีฉุกเฉินมีการติดตั้งวัสดุที่ซับเสียงเพื่อป้องกันเสียงสะท้อน
เพื่อให้การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์มีผลตามกฎหมาย ผู้มีหน้าที่จัดการประชุมต้อง (1) จัดให้ผู้ร่วมประชุมสามารถแสดงตนก่อนร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก่อนร่วมการประชุม (2) จัดให้ผู้ร่วมประชุมสามารถลงคะแนนได้ ทั้งการลงคะแนนโดยเปิดเผยและการลงคะแนนลับ (3) จัดทำรายงานการประชุมเป็นหนังสือ หรือในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (4) จัดให้มีการบันทึกเสียงหรือทั้งเสียงและภาพ แล้วแต่กรณี ของผู้ร่วมประชุม (5) จัดเก็บข้อมูลจราจรอิเล็กทรอนิกส์/คอมพิวเตอร์ ของผู้ร่วมประชุมทุกคนไว้เป็นหลักฐาน
การจัดการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถือว่าเป็นการประชุมโดยชอบด้วยกฎหมาย สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในกระบวนการพิจารณาตามกฎหมายทั้งในคดีแพ่ง คดีอาญาหรือคดีอื่นใด
หลายประเทศต่างหามาตรการ วิธีการ แนวทาง ที่จะแก้ไขและหลีกเลี่ยงไม่ให้ประเทศของตนได้รับความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงและสังคม จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
สำหรับประเทศไทย คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ได้เสนอ 6 ยุทธศาสตร์ เพื่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยดิจิทัล สร้างความต่อเนื่องธุรกิจ ที่ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดี ได้แก่
(1) ควบคุม ป้องกัน และรักษา เช่น การจัดทำฐานข้อมูลดิจิทัลขนาดใหญ่ของประชากรทุกคน และทุกนิติบุคคลในประเทศ การใช้ AI (Artificial Intelligence)หรือปัญญาประดิษฐ์เพื่อวิเคราะห์การกระจายตัวของประชากรและผู้ติดเชื้อ (2) ความต่อเนื่องของธุรกิจ เช่น การแก้กฎหมายเพื่อรองรับระบบเว็บไซต์กลางบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ การยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) (3) การจ้างงานและพัฒนาคน มีมาตรการสนับสนุนผู้จบการศึกษาใหม่ นำกลุ่มเด็กจบใหม่ที่มีความสามารถด้าน ICT ไปช่วยพัฒนาการศึกษาออนไลน์ (4) สร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน ตลาดการค้าและการลงทุน เพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ (Startup) (5) เตรียมรองรับเศรษฐกิจใหม่ที่จะเกิดขึ้นหลังวิกฤติ เช่น การวางแผนพื้นที่การเพาะปลูก การพัฒนาระบบชลประทานดิจิทัล (DigitalIrrigation) (6) โครงสร้างขับเคลื่อนภายใต้วิกฤติโควิด-19เช่น การให้สภาต่างๆ เป็นตัวแทนภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 การแก้ไขกฎระเบียบด้านดิจิทัลเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ
พ.ร.ก.ว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2563 มีส่วนช่วยแก้ไขทางการดำเนินงานสำเร็จลุล่วงไปได้ ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทั้งยังอำนวยความสะดวกแก่หน่วยงานเอกชนและราชการ
หากวิกฤติไวรัสโคโรนาผ่านพ้นไป การยังคงดำรงแนวปฏิบัติของ พ.ร.ก.นี้ซึ่งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย พยายามผลักดันในเรื่องนี้ ย่อมมี
ส่วนช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี