nn ย้อนไป 3-4 ปีก่อนที่เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวเป็นบวกได้ต่อเนื่อง มีการผุดโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่มากมายแต่เชื่อหรือไม่อุตสาหกรรมเหล็กของไทยก็ยังอยู่ในภาวะยากลำบาก ทั้งที่เป็นสินค้าซัพพลายเชนสำคัญของโครงการอสังหาริมทรัพย์ แม้แต่ในช่วงที่รัฐบาลกำลังเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศตั้งแต่ 1-2 ปีมานี้ ซึ่งก็ต้องใช้เหล็กจำนวนมากมายมหาศาล แต่ในทางกลับกันอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศก็ยังคงตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เหมือนเดิม
ปี 2562 ความต้องการใช้เหล็กลดลงจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ รวมทั้งการผลิตที่ถูกกดดันจากการนำเข้าเหล็กราคาถูกและราคาขายที่มีความผันผวน ปัจจัยที่ทำให้ความต้องการใช้งานเหล็กปรับตัวลดลง ประกอบด้วย 1.ผลกระทบจากการเบิกจ่ายงบประมาณปี พ.ศ. 2562(ค.ศ.2019)และ พ.ศ. 2563 (ค.ศ.2020) ที่ชะลอตัวภายหลังจากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ซึ่งทำให้โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่ใช้เหล็กเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้างลดลง 2.ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากสงครามการค้าส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมปรับลดกำลังการผลิตสินค้าที่ใช้เหล็กเป็นส่วนประกอบลง เช่น ปริมาณการผลิตรถยนต์ที่ลดลง 7% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YOY) และ 3.มาตรการควบคุมสินเชื่ออาคารที่อยู่อาศัย (LTV) ที่กดดันการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยใหม่ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม
นอกจากนี้ การแข่งขันจากสินค้าเหล็ก ราคาถูกจากต่างประเทศยังคงเป็นปัญหาที่ผู้ผลิตเหล็กไทยต้องเผชิญมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2562 ปริมาณการนำเข้าเหล็กขั้นปลาย (finished steel) อยู่ที่ 12.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.4% YOY และการนำเข้าเหล็กราคาถูกจากต่างประเทศส่งผลให้ปริมาณการผลิตเหล็กทรงยาวหดตัวถึง 15%YOY มาอยู่ที่ 5 ล้านตัน ซึ่งลดลงมากกว่าการบริโภคที่หดตัว 7% YOY ขณะที่ปริมาณการผลิตเหล็กทรงแบนหดตัวถึง 22% YOY มาอยู่ที่ 2.6 ล้านตันซึ่งลดลงมากกว่าการบริโภคที่หดตัวเพียง 2% YOY โดยสินค้าเหล็กที่มีปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ เหล็กลวดคาร์บอน(wire rod) นอกจากนี้ค่าเงินบาทเฉลี่ยที่แข็งค่าขึ้น4% ในปี 2562 ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ผู้ค้าเหล็กสามารถนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศได้ในราคาที่ถูกลงอีกด้วย
ในปี 2563 นี้ อุตสาหกรรมเหล็กไทยก็ยังต้องเผชิญปัจจัยลบใหม่เข้ามาซ้ำเติมอีก นั่นก็คือ การระบาดของ COVID-19 เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ 1.ความต้องการใช้เหล็กลดลงจากการชะลอตัวในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้เหล็ก 2.ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะอุปทานหยุดชะงักจากประเทศคู่ค้าบางรายที่ไทยมีการนำเข้าเหล็กและยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ภายในประเทศได้ และ 3.ราคาเหล็กหดตัวซึ่งเกิดจากภาวะอุปทานส่วนเกินในจีนรวมถึงประเทศแถบเอเชียตะวันออก
ปีนี้การก่อสร้างภาคเอกชนมีแนวโน้มปรับตัวลดลงราว 8% YOY มาอยู่ที่ 5.3 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทุกหมวดต้องหยุดชะงักลง และส่งผลต่อไปยังการตัดสินใจของภาคเอกชนในการเลื่อนการลงทุนก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์โครงการใหม่ออกไป ขณะที่การก่อสร้างอาคารสำนักงานมีโอกาสได้รับผลกระทบจากมาตรการ Work from Home ที่บริษัทเอกชนหลายแห่งได้มีการนำมาใช้เพื่อเป็นการควบคุมการระบาดของ COVID-19 ซึ่งมาตรการ Work from Home นี้ ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบให้ความต้องการในการเช่าอาคารสำนักงานลดลงในระยะสั้น แต่ยังอาจส่งผลถึงระยะยาว หากบริษัทเอกชนในไทยอนุญาตให้พนักงานบางส่วน Work from Home ได้ถึงสิ้นปีหรือเป็นการถาวรนอกจากนี้ ภาคครัวเรือนมีแนวโน้มชะลอการใช้จ่ายลง โดยเฉพาะสินค้าคงทนที่ใช้เหล็กเป็นส่วนประกอบ เช่น รถยนต์ ซึ่งมีสัดส่วนการใช้เหล็กคิดเป็น 55-65% ของน้ำหนักรถ เครื่องใช้ไฟฟ้าเช่น เครื่องซักผ้า ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม อุปสงค์การใช้เหล็กคาดว่าจะได้รับแรงพยุงจากการขยายตัวของการก่อสร้างภาครัฐซึ่งคาดว่าจะเติบโตได้ราว 4.5% YOY มาอยู่ที่ระดับ 7.6 แสนล้านบาท โดยมีแรงหนุนจากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนาดใหญ่ เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟรางคู่ โครงการมอเตอร์เวย์ผนวกกับโครงการขนาดกลางและเล็กของภาครัฐ ที่เริ่มมีการเร่งเบิกจ่ายภายหลัง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี พ.ศ.2563 ได้รับการอนุมัติ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการอัดฉีดเม็ดเงินผ่านโครงการก่อสร้างขนาดกลางและเล็กเพิ่มเติมจากโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้เงินจาก พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อการเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจ
แต่คำถามสำคัญคือว่า อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศจะได้รับอานิสงส์จากโครงการก่อสร้างของภาครัฐซึ่งเป็นตัวช่วยเดียวหรือไม่?? เพราะอย่างที่เห็นว่า 3-4 ปีมานี้ อัตราการนำเข้าเหล็กทั้งเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปีรวมทั้งในปีนี้เช่นกัน ซึ่งปัจจัยเสริมจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นทำให้นำเข้าเหล็กได้ถูกลง ประกอบกับกำลังการผลิต และสต๊อกเหล็กของจีน ที่เพิ่มขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันราคาเหล็กของโลก รวมทั้งไทยด้วย และที่น่าเป็นห่วงมากว่านั้น ก็คือแนวคิดของราชการไทย โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ ที่ไม่ส่งเสริมการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ เห็นได้จากการทยอยยกเลิกมาตรการป้องกันการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น(เซฟการ์ด) สำหรับสินค้ากลุ่มเหล็กอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเหล็กเจืออัลลอย เหล็กอาบสังกะสี และสดๆ ร้อนๆก็เหล็กแผ่นรีดร้อนไม่เจือ (เหล็กดำ) หรือการยกเลิกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) สำหรับเหล็กทรงยาวอีกหลายรายการ ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นแนวคิดที่สวนทางกับทุกประเทศทั่วโลก ออกปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศตัวเอง โดยไม่สนใจ WTO เหมือนกับที่ กระทรวงพาณิชย์ของไทย ชอบยกเอา WTO มาเป็นข้ออ้างในการยกเลิกมาตรการปกป้อง
ดูเหมือว่า ความหวังเดียวของอุตสาหกรรมเหล็กไทยคือ นโยบาย Thai First ของกระทรวงคมนาคม ที่ได้เคยรับปากกับ 7 สมาคมผลิตเหล็กในประเทศว่า โครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคมทุกโครงการ จะต้องใช้เหล็กในประเทศเป็นหลัก ซึ่งถ้าหากว่าในที่สุดแล้ว Thai First ไม่มีผลทางปฏิบัติจริง และผู้ได้โครงการของรัฐทั้งหลายยังคงใช้เหล็กนำเข้าแทนที่จะใช้เหล็กในประเทศ รัฐบาลก็เตรียมรับมือกับปัญหาคนว่างงานจากอุตสาหกรรมเหล็กไทย ที่มีอยู่ 2-3 แสนอัตรา ได้เลย...
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี