เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ได้เกิดเหตุกลุ่มวัยรุ่น 2 กลุ่ม นัดตกลงกันเรื่องข้ามถิ่น แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงได้ยกพวกตีกันผลปรากฏว่าวัยรุ่นคนหนึ่งในกลุ่มแรก ได้ถูกกลุ่มตรงข้ามแทงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องนำตัวส่งห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลวิภาราม-ชัยปราการตำบลสำโรงกลาง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ แต่สุดท้ายเสียชีวิต ทำให้เพื่อนคนหนึ่งของผู้เสียชีวิตชกหน้าแพทย์หญิง โดยอ้างว่าโมโหที่แพทย์หญิงไม่สามารถช่วยชีวิตเพื่อนได้ และแพทย์หญิงแจ้งว่า เพื่อนเสียชีวิตก่อนนำส่งโรงพยาบาล
วัยรุ่นกลุ่มนี้ เมื่อทราบว่ากลุ่มคู่อริซึ่งมีมือมีดเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเมืองสมุทรปู่เจ้าฯ ตำบลสำโรงใต้ อำเภอพระประแดง จังหวัสมุทรปราการ จึงได้พากันยกพวกไปถล่มคู่อริที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ทำร้ายบุคลากรทางการแพทย์รวมทั้งทุบทำลายอุปกรณ์ทางการแพทย์เสียหายย่อยยับ ซึ่งแต่ละชิ้นมีราคาสูงมาก เพราะล้วนแต่เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญ เช่น เครื่องช่วยหายใจชนิดควบคุมปริมาตร ราคา 850,000 บาท เครื่องกระตุ้นหัวใจ ราคา 350,000 บาท เครื่องติดตามสัญญาณชีพผู้ป่วยแบบข้างเตียง ราคา 200,000 บาท เครื่องวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในกระแสเลือด ราคา 80,000 บาท เป็นต้น
เหตุการณ์ทั้งหมดได้ถูกบันทึกไว้โดยกล้องวงจรปิด สร้างความหดหู่ใจและตกใจแก่ผู้ที่ได้ดู ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า กลุ่มวัยรุ่นจะไร้สามัญสำนึก ยกพวกไปตีกันในโรงพยาบาล ที่เป็นสถานที่สำคัญที่ช่วยดูแล รักษา ช่วยชีวิตผู้ป่วย ผู้คนได้ประณามพร้อมทั้งเรียกร้องให้ลงโทษตามกฎหมายอย่างถึงที่สุดเพื่อไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป
ผู้ก่อเหตุทั้งหมดมี 11 ราย การก่อเหตุครั้งนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายข้อหา เช่น ข้อหามั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลัประทุษร้าย หรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ ข้อหาร่วมกันชุลมุนต่อสู้กันเป็นเหตุให้มีผู้ถึงแก่ความตายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ข้อหาร่วมกันบุกรุก โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ ร่วมกันกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ในเวลากลางคืน ข้อหาร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ทั้งมือมีดจะถูกแจ้งข้อหาเพิ่ม คือ ข้อหาทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตาย
เหตุทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายในโรงพยาบาลครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่าช่วงปีพ.ศ. 2555 -2563 มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นจำนวน 66 ครั้ง ทุกคดีถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที ศาลได้ตัดสินให้รับโทษ โดยไม่ได้รับการรอลงอาญา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา ได้เคยกล่าวไว้ประชุมเสวนาเรื่องปัญหาความรุนแรงในห้องฉุกเฉินและแนวทางแก้ไขปัญหา เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ในตอนหนึ่งว่า “จะเห็นได้ว่า ความรุนแรงโดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ห้องฉุกเฉิน เหตุผลคือห้องฉุกเฉินเป็นด่านหน้า และผู้ป่วยทุกอย่างจะเข้ามากองอยู่ในห้องฉุกเฉินหมด นั่นหมายความว่า ปัญหาคือห้องฉุกเฉิน ไม่ใช่ห้องฉุกเฉินจริงๆ แต่ทำหน้าที่เป็นกระโถนท้องพระโรง คือต้องรองรับปัญหาทุกๆ อย่างก่อนที่ปัญหาจะเข้าไปถึงโรงพยาบาล” “ในต่างประเทศมีการเก็บสถิติพยาบาลที่ทำงานในห้องฉุกเฉิน พบว่าร้อยละ 70 หรือ 7 ใน 10 คน ถูกทำร้ายขณะปฏิบัติหน้าที่ทั้งด้วยวาจาและการกระทำ”
อย่างไรก็ตาม ควรแสวงหาความจริงว่า กรณีที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลวิภาราม-ชัยปราการ จากข้อมูลที่สื่อนำเสนอในตอนแรกว่า เมื่อมีผู้พาผู้บาดเจ็บจากการถูกมีดแทง แม้มีอาการสาหัส แต่ยังไม่ถึงตายแต่กลับรอแพทย์อยู่นาน เมื่อแพทย์มาถึง ได้พยายามช่วยอย่างสุดความสามารถ แต่ผู้บาดเจ็บเสียชีวิต ซึ่งแพทย์ได้บอกเพื่อนๆ ผู้บาดเจ็บว่า ผู้บาดเจ็บได้เสียชีวิตก่อนที่มาถึงโรงพยาบาล ทำให้บรรดาเพื่อนๆ ของผู้บาดเจ็บที่เสียชีวิตต่างไม่พอใจ จนหนึ่งในนั้นได้ทำร้ายแพทย์หญิง และอีกคนได้ทำร้ายบุคลากรทางการแพทย์ เรื่องนี้ ควรจะหาความจริงที่เกิดขึ้นว่า เป็นอย่างไรกันแน่
เมื่อเกิดเหตุความวุ่นวาย แพทย์หญิงถูกทำร้ายข้อมูลส่วนนี้ดูเหมือนจะถูกมองข้ามไป และไม่ได้ให้ความสำคัญ
โดยทั่วไปแพทย์ที่เข้าเวรในโรงพยาบาลเอกชนในโรงพยาบาลหลายแห่ง ทางโรงพยาบาลอนุญาตให้แพทย์นอนพักผ่อนในห้องเฉพาะของแพทย์ได้ แต่เมื่อมีคนไข้ฉุกเฉินมา ทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะไปตามแพทย์มารักษาคนไข้ที่ห้องฉุกเฉิน
ขั้นตอนดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขควรกำหนดให้เป็นดัชนีการชี้วัด (KPI : Key PerformanceIndicator) ว่า กรณีตามแพทย์เพื่อมาตรวจรักษาคนไข้ห้องฉุกเฉิน ที่ใช้เวลาตั้งแต่ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรับเรื่อง ไปตามแพทย์ แพทย์มาที่ห้องฉุกเฉิน เพื่อเริ่มลงมือตรวจรักษา กระบวนการนี้ต้องใช้เวลาทั้งหมดกี่นาที จึงถือได้ว่าเป็นเวลาที่สมเหตุสมผล ซึ่งเป็นเรื่องของระบบการทำงาน
ในหลายสถานการณ์ แม้ผู้บาดเจ็บหรือคนไข้ ได้เสียชีวิตระหว่างการรักษาของแพทย์ แต่ญาติและเพื่อนๆยังยอมรับได้ หากได้รับรู้และเข้าใจว่า แพทย์ได้ทำเต็มที่อย่างสุดความสามารถแล้ว
แต่หากญาติและเพื่อนๆ ของคนไข้ กลับรู้สึกว่าแพทย์ยังไม่ได้ทำหน้าที่ของแพทย์อย่างสุดความสามารถหรือยังมีโอกาสเหลืออยู่ แต่ไม่ได้ใช้โอกาสนั้นให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้ผู้บาดเจ็บหรือคนไข้นั้นก็ต้องเสียชีวิตอยู่ดี ญาติและเพื่อนๆ จะยังมีความรู้สึก ติดใจ ไม่พอใจ และโกรธแพทย์ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกและอารมณ์
การค้นหาความจริงดังกล่าว หากมีขึ้น ไม่ควรจะมุ่งที่จะหาคนผิดในบุคลากรทางการแพทย์ แต่ควรจะมุ่งที่จะแก้ไขข้อผิดพลาด เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี