nn ต้องบอกว่าเป็นข่าวดีสำหรับ อุตสาหกรรมเหล็กไทยเมื่อรัฐบาลขานรับข้อเสนอของภาคเอกชนไทยที่ต้องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เน้นผลิตภัณฑ์ในประเทศเป็นหลัก หรือ“Made in Thailand” โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563 ได้มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการคลัง เรื่อง “กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่ภาครัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน” สาระสำคัญก็คือ....กำหนดให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างพัสดุจากผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) โดยใช้เงินงบประมาณไม่น้อยกว่า 30% ในการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุจากเอสเอ็มอีที่ได้ขึ้นบัญชีรายการพัสดุและรายชื่อไว้กับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รวมถึงหากประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์แล้ว พบว่าผู้เสนอราคาที่เป็นเอสเอ็มอีเสนอราคาสูงกว่าราคาต่ำสุดของผู้เสนอราคารายอื่นไม่เกินกว่า 10% ให้เลือกเอสเอ็มอีแทน พร้อมทั้งกำหนดให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อผลิตภัณฑ์ของร้านค้าสหกรณ์ หรือสถาบันเกษตรกรที่กระทรวงเกษตรฯรับรอง และ กำหนดให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่ผลิตในประเทศไม่น้อยกว่า 60% ของพัสดุที่จะใช้ โดยเฉพาะงานก่อสร้างให้ใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศก่อนและต้องไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าหรือปริมาณเหล็กทั้งหมดที่ใช้และหากการจัดซื้อจัดจ้างพบว่าผู้เสนอราคาต่ำสุดเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ขณะที่ผู้เสนอราคาที่เป็นบุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยเสนอราคาสูงกว่ารายของต่างชาติไม่เกิน 3% ให้พิจารณาเลือกผู้ประกอบการของไทย....
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กว่าจะออกมาเป็นนโยบายก็ผ่านกระบวนการหารือกันมานานกว่าตกผลึก เบื้องลึกเบื้องหลังที่มาที่ไปของนโยบายนี้...คุณนาวา จันทนสุรคนประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ ได้เสนอเรื่องตั้งแต่ปี 2558 ให้รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พิจารณาส่งเสริมการใช้สินค้าเหล็กที่ผลิตในประเทศไทย และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กได้ติดตามเรื่องอย่างต่อเนื่องกับหน่วยงานภาครัฐต่างๆ จนกระทั่งในปี 2563 นี้ กระทรวงคมนาคม ได้จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ(Workshop) ร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้สินค้าเหล็กที่ผลิตในประเทศ ภายใต้นโยบาย“Thai First ไทยทำ ไทยใช้ คนไทยต้องได้ก่อน”ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นการนำร่องและได้ข้อมูลสนับสนุนการผลักดันให้เป็นนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล อีกทั้ง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นำโดยประธานสภาฯ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ได้ผลักดันเสนอให้รัฐบาลใช้นโยบาย Made in Thailand เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย
“วันนี้เป็นที่น่ายินดียิ่งว่ารัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เห็นความสำคัญและจำเป็นของ Made in Thailand โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีล่าสุด เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563 ได้มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการคลัง เรื่อง “กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่ภาครัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน” เป็นช่วงเวลาที่ถูกต้องและเหมาะสมยิ่ง เพราะหลายปีนี้จากนี้ไป จะเป็นช่วงที่ประเทศไทยมีการลงทุนด้านโครงสร้างและระบบสาธารณูปโภคมากสุด การส่งเสริมให้ใช้สินค้าเหล็กที่ผลิตในประเทศจะช่วยสร้างงาน และการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจภายในประเทศไทยได้มหาศาล และจะเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด”
คุณนาวาบอกอีกว่า มั่นใจว่าการขับเคลื่อนส่งเสริมสินค้า Made in Thailand ของรัฐบาล หากหน่วยงานภาครัฐต่างๆ นำไปปฏิบัติอย่างจริงจังจะช่วยให้อุตสาหกรรมภายในประเทศในภาพรวมสามารถฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากผลกระทบโควิด และใช้กำลังการผลิตที่มีอยู่ได้มากขึ้น แม้ว่าต้นทุนของการใช้พัสดุที่ผลิตภายในประเทศ อาจจะสูงกว่าสินค้าทุ่มตลาดจากต่างประเทศบ้าง แต่ถ้าพิจารณาในภาพรวมของการจ้างงานและการหมุนเวียนเศรษฐกิจภายในประเทศไทย ย่อมให้ผลเชิงบวกต่อเนื่องมากกว่าแน่นอน โดยเฉพาะมีงานวิจัยโดยศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ศึกษาผลเชิงบวกจากการใช้สินค้าในประเทศโดยการใช้เครื่องมือตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต หรือ Input-Output Table(I-O Table) ซึ่งเป็นตารางที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการผลิตและการใช้ผลผลิต ทั้งที่ใช้ไปในขั้นสุดท้าย และที่ใช้ไปเพื่อการอุปโภคขั้นกลาง สำหรับข้อมูลโครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคม 44 โครงการ โดยได้มีการประเมินจากผู้ผลิตสินค้าเหล็กในประเทศว่าสามารถใช้สินค้าเหล็กในประเทศได้เป็นมูลค่าถึงประมาณ 110,000 ล้านบาท และจากมูลค่าดังกล่าวเมื่อนำไปวิเคราะห์โดย I-O table พบว่าจะช่วยให้เกิดการจ้างงานทั้งทางตรง และทางอ้อมกว่า 139,000 คน และช่วยให้ GDP ของประเทศปรับตัวดีขึ้นขึ้นอย่างแน่นอน มิฉะนั้น หากปล่อยให้สินค้าต่างชาติทุ่มตลาดมายังประเทศไทย มากเกินไปจนอุตสาหกรรมพื้นฐานภายในประเทศไม่สามารถอยู่รอดได้ ประเทศไทยต้องพึ่งพิงสินค้านั้นจากต่างชาติเป็นหลัก ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและความมั่นคงแห่งชาติ
“ประเทศไทยเคยเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมเหล็กในอาเซียน แต่เผชิญวิกฤติเหล็กทุ่มตลาดจากต่างชาติปริมาณมากในระยะหลังจนการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กไทย ลดต่ำเหลือเพียง 30% ซึ่งถือว่าเป็นภาวะวิกฤติแล้ว แม้ความต้องการใช้เหล็กของประเทศไทย ในปี 2563 นี้ จะมีปริมาณราว 16 ล้านตันลดลง 9% จากปี 2562 การขับเคลื่อนตามนโยบาย Made in Thailand จะช่วยให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กไทยปรับตัวสูงขึ้น อุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมหนักที่มีมูลค่าการลงทุนสูง และเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานสำคัญของประเทศไทย แต่ปัจจุบัน ประเทศไทยพึ่งพิงการนำเข้าสินค้าเหล็กมากถึงสองในสามของการบริโภคเหล็กของประเทศอยู่แล้ว หากประเทศไทยยิ่งต้องพึ่งพาเหล็กนำเข้ามากขึ้น ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนและความมั่นคงแห่งชาติ ในนามกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ขอแสดงความชื่นชมต่อรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่ได้ขับเคลื่อนการส่งเสริมพัสดุ Made in Thailand นี้โดยอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศจะเดินหน้าทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และควบคุมต้นทุนโดยเข้มงวดอย่างต่อเนื่อง” นายนาวา กล่าวทิ้งท้าย
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี