เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)มีมติระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายสุรพล เกียรติไชยากร ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เขต 8 จังหวัดเชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย โดยให้ใบส้ม หรือเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไว้เป็นการชั่วคราว 1 ปี
หลังพิจารณาสำนวนสืบสวนที่คณะกรรมการสืบสวน สำนักงาน กกต.เชียงใหม่ พบว่า พฤติการณ์ของนายสุรพลเข้าข่ายกระทำความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 (2) บัญญัติว่า ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้เงิน หรือทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม แก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัดสถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด เนื่องจากนายสุรพล ถวายซองทำบุญให้แก่พระครูถาวรวรคุณ จำนวน 2,000 บาท
มติดังกล่าวมีผลให้กกต. สั่งจัดเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งที่ 8 จังหวัดเชียงใหม่ การเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 นายสุรพล เป็นผู้ได้รับคะแนนเลือกตั้งมาเป็นลำดับที่ 1 ด้วยคะแนนเสียง 52,165 คะแนน นายนเรศ ธำรงค์ทิพยกุล พรรคพลังประชารัฐ ได้39,221 คะแนน น.ส.ศรีนวล บุญลือ พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนน 29,556 คะแนน น.ส.วรณัน อ้นท้วม พรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนน 2,508 คะแนน โดยในการเลือกตั้งใหม่ ผู้สมัครชุดเดิมสามารถลงแข่งขันได้ ยกเว้นนายสุรพล
เมื่อ กกต. สั่งระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งนายสุรพลและสั่งเลือกตั้งใหม่ จำนวนคะแนนดังกล่าว กกต. จะไม่นำมารวมนับเป็นคะแนนที่จะคำนวณ เพื่อจัดสรร สส.บัญชีรายชื่อ ให้กับพรรคการเมือง และได้ดำเนินการต่อนายสุรพลตามมาตรา 138 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 คือ ร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบดำ) 10 ปี และให้ชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้ง
ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ. 2561 ได้กำหนดให้ผู้ที่มีอำนาจในการพิจารณาตรวจสอบความโปร่งใสในการเลือกตั้ง พร้อมทั้งอำนาจในการลงโทษคือ กกต. และศาล
จนเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2563 ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำพิพากษายกคำร้องกรณีกกต.ให้ใบส้ม หรือเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไว้เป็นการชั่วคราว 1 ปี เนื่องจากศาลเห็นว่า เงิน 2,000 บาท เป็นค่าเทียนสะเดาะเคราะห์ และในวันที่ไปทำบุญ นายสุรพลไม่ได้พูดหาเสียง เพียงแค่ทักทายกับประชาชน ทั้งไม่ได้ฝากเนื้อฝากตัวกับชาวบ้าน จึงยังไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่า เป็นการบริจาคเงินทำบุญให้กับวัดเพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้ตนเอง และเมื่อฟังว่าไม่ได้กระทำผิด จึงไม่จำต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 8 ตามคำร้อง พิพากษาให้ยกคำร้อง
นายสุรพลใช้เวลาในการต่อสู้คดีเป็นเวลา 1 ปี5 เดือน 5 วัน คำพิพากษานี้สร้างความรู้สึกสองอารมณ์ให้แก่นายสุรพล คือ ทั้งดีใจและเสียใจ นายสุรพลได้กล่าวทำนองว่า เมื่อตนไม่มีความผิด เท่ากับว่าได้รับศักดิ์ศรีและเกียรติยศคืนมา แต่กกต. จะทำอย่างไรสำหรับคะแนนการเลือกตั้ง 52,165 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนบริสุทธิ์ที่นายสุรพลได้รับ และ น.ส.ศรีนวล บุญลือ สส.เชียงใหม่พรรคภูมิใจไทย ที่ชนะการเลือกตั้งซ่อม จะยังคงมีสถานะหรือไม่ หรือจะให้นายสุรพล กลับมาเป็น สส.ตามคะแนนที่ได้รับโดยชอบ
คดีนี้เป็นคดีแรกที่ สส.ฟ้องกกต.ได้รับชัยชนะ สำหรับนายสุรพล ตลอดเวลามีความรู้สึกว่า ถูกยัดเยียดความผิด ทำให้นายสุรพลเตรียมฟ้อง กกต. 70 ล้านบาทฐานให้ใบส้มโดยมิชอบ ใช้อำนาจหน้าที่โดยละเมิด
จนในที่สุด พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต.ได้เปิดเผยว่า กฎหมายเขียนให้คำวินิจฉัยของกกต. จึงถือเป็นที่สุด ดังนั้น จึงเป็นที่สุดตั้งแต่เมื่อ กกต.มีมติ กฎหมายเขียนอย่างนี้ ไม่เช่นนั้น กกต.ไม่กล้าให้ใบส้ม
ตามมาตรา 23 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 การวินิจฉัยของ กกต. เป็นการใช้ดุลพินิจตาม
หน้าที่และอำนาจที่รัฐธรรมนูญ ม.225 กำหนดไว้ ซึ่งคำสั่งดังกล่าวถือเป็นที่สุด และเมื่อเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว และเป็นการกระทำโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางปกครอง
อย่างไรก็ตาม นายสุรพล คงเดินหน้าเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเองอย่างไม่ลดละ เพื่อเป็นการต่อสู้เพื่อความชอบธรรมให้กับตนเอง ซึ่งกกต.ทั้ง 7 ท่าน ได้ทราบเรื่องแล้ว ทำให้มีการตั้งคำถามว่า หากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งแพ้คดีทางแพ่ง ผลจะเป็นอย่างไร
ตามมาตรา 5 ของพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 การตัดสินของกกต. 7 คนถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ หน่วยงานราชการต้องเป็นผู้รับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการเว้นแต่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นจะทุจริต หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เมื่อยังไม่ได้มีการพิสูจน์ความผิดของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ดังนั้น ในชั้นนี้ต้องถือว่าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องชำระค่าเสียหายให้แก่นายสุรพล
กรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ชำระค่าเสียหายให้แก่นายสุรพลแล้ว และหากนายสุรพลเห็นว่า การกระทำของกกต. ทั้ง 7 ท่าน เป็นการกระทำการ
โดยจงใจให้เกิดความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจนเป็นเหตุให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสียหาย สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งสามารถฟ้องไล่เบี้ยต่อกกต. ทั้ง 7 ท่าน ได้
ตามมาตรา 5 แห่งรัฐธรรมนูญฯจะมีหลักว่า“...เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทําการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้น ไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ดังนั้นความเห็นของกกต. เกี่ยวกับนายสุรพลที่ว่าเป็นที่ยุติแล้ว และไม่จำเป็นต้องดำเนินการต่อไปอีกแต่อย่างไร อาจไม่ใช่ความเห็นที่ถูกต้อง
นายสุรพลยังมีโอกาส ดำเนินการต่อไปได้ ตามหลักของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในเรื่องนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี