เสิร์ชเอนจิน (Search Engine) หรือโปรแกรมค้นหาคือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูลโดยเฉพาะข้อมูลบนอินเตอร์เนตที่ครอบคลุมทั้งข้อความ กลุ่มข่าว ข้อมูลบุคคล รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ และอื่นๆ
เสิร์ชเอนจินที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในขณะนี้คือ กูเกิ้ล(Google) ข้อมูลจาก www.oberlo.com พบว่าเดือนกันยายน พ.ศ. 2563 กูเกิ้ลมีส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกถึงร้อยละ 92.26 อันดับสอง คือ ปิง (Bing) เสิร์ชเอนจินจากไมโครซอฟท์ (Microsoft) มีความโดดเด่นและพิเศษด้วยกิมมิค (Gimmick) ต่างๆ นานา โดยมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 2.83 อันดับสาม คือ ยาฮู (Yahoo) มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 1.59 อันดับสี่ คือ ไป่ตู้ (Baidu) มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 1.14 อันดับห้า คือ ยานเดกซ์ (Yandex) มีส่วนแบ่งตลาด ร้อยละ 0.5 ในสหรัฐอเมริกา กูเกิ้ลครองส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 80
สำหรับประเทศจีน ไป่ตู้ถือเป็นเสิร์ชเอนจิน อันดับหนึ่งและในประเทศรัสเซีย ยานเดกซ์ถือเป็นเสิร์ชเอนจิน อันดับหนึ่งของรัสเซีย
จากส่วนแบ่งตลาด กูเกิ้ลจึงเป็นผู้ให้บริการเสิร์ชเอนจินที่ใหญ่และได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบันเพราะมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดทั้งในสหรัฐฯและหลายๆ ประเทศ เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้า กูเกิ้ลยังมีผลิตภัณฑ์และบริการอื่นๆ เช่น Google Ads, Google Docs, GoogleCalendar, Google Maps, Google Books, Google Finance, Google Pay
เมื่อสัปดาห์ที่สามของเดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (United States Department of Justice) ผสานกับอัยการใหญ่อีก 11 รัฐ ยื่นฟ้องกูเกิ้ล
ในข้อหาผูกขาด (Antitrust Suit) บริการเสิร์ชเอนจินและโฆษณา (Search Advertising) บนระบบเสิร์ชเอนจินอย่างเป็นทางการ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐพิจารณาและเห็นว่า กูเกิ้ลผูกขาดเสิร์ชเอนจินเพราะการที่กูเกิ้ลได้ไปลงนามในสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟ (Exclusivity Agreements) กับบริษัทต่างๆ เช่น เบราว์เซอร์สมาร์ทโฟน และผู้ให้บริการโทรคมนาคมในสหรัฐฯ เพื่อเปิดโอกาสให้กูเกิ้ลได้เป็นเครื่องมือการค้นหาหลัก โดยการให้ค่าตอบแทนจำนวนนับพันล้านดอลลาร์ต่อปี และในสัญญาบางฉบับมีเงื่อนไขห้ามติดตั้งเครื่องมือเสิร์ชเอนจินของคู่แข่งเจ้าอื่น ทำให้บริษัทอื่นๆ ไม่สามารถแข่งขันกับกูเกิ้ลได้ เช่น ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ ถูกบังคับให้ทำสัญญาติดตั้งแอพของกูเกิ้ลทั้งชุด และต้องนำเสนอแอพของกูเกิ้ลในตำแหน่งที่เด่นที่สุดด้วย
กูเกิ้ลสามารถสร้างรายได้จากโฆษณาบนหน้าผลการค้นหา ที่มีมูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี เพราะข้อได้เปรียบเรื่องส่วนแบ่งตลาด ส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯร้อยละ 80 ซึ่งสัดส่วนร้อยละ 60 มาจากสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟส่วนที่เหลือร้อยละ 20 มาจากพื้นที่ของกูเกิ้ลเอง เช่น โคร์ม(Chrome)
การฟ้องทำนองนี้ เคยเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2541 โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ได้ฟ้องไมโครซอฟท์ (ซึ่งจบด้วยไมโครซอฟท์ยอมความ) และปีพ.ศ. 2517 ได้ฟ้องเอทีแอนด์ที (AT&T) (ซึ่งจบด้วยเอทีแอนด์ทีโดนแยกบริษัท)
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้ให้เหตุผลว่า การฟ้องกูเกิ้ลในข้อหาละเมิดกฎหมายป้องกันการผูกขาด เป็นเพราะรัฐบาลต้องการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาดอย่างเฉียบขาด เพื่อฟื้นฟูการแข่งขัน และเปิดประตูสู่นวัตกรรมใหม่ๆ การที่กูเกิ้ลผูกขาดตลาดบริการสืบค้นข้อมูลออนไลน์ ย่อมส่งผลเสียกับบรรดาคู่แข่งและผู้บริโภค
ทางด้านกูเกิ้ลได้ออกมาโต้และให้เหตุผลว่า “คนใช้กูเกิ้ลเพราะพวกเขาเลือกเอง ไม่ได้ถูกบังคับให้เลือก หรือหาทางเลือกอื่นไม่ได้ ทั้งการที่รัฐบาลฟ้องร้องกูเกิ้ลอาจเป็นการสนับสนุนให้มีบริการสืบค้นข้อมูลที่มีคุณภาพต่ำกว่า และจะทำให้คนใช้งานเข้าถึงบริการสืบค้นที่พวกเขาต้องการได้ยากมากขึ้น”
คดีนี้ยื่นฟ้องต่อศาลเขต District of Columbia ซึ่งถัดจากนี้ไปจะเข้ากระบวนการของศาลที่จะไต่สวนต่อไป
ในสหรัฐฯการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาดมีทั้งหน่วยงานของรัฐและเอกชน ที่มีอำนาจในการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายป้องกันการผูกขาดหน่วยงานภาครัฐมีสองหน่วยงานหลัก คือกระทรวงยุติธรรม (Department of Justice) และคณะกรรมการการค้าสหพันธรัฐ (FederalTrade Commission) กรณีภาคเอกชนต้องสามารถแสดงให้ศาลเห็นว่ามีหรือเกิดความเสียหายกับธุรกิจหรือทรัพย์สินของตนเอง
ในประเทศสหรัฐฯ มีการกำกับดูแลพฤติกรรมทางการค้าที่ส่งผลจำกัดการแข่งขันทางการค้า ในลักษณะสำคัญๆจำนวน 3 ลักษณะพฤติกรรม ได้แก่ (1) การตกลงร่วมกันระหว่างผู้ประกอบธุรกิจ หลักสำคัญ คือ การห้ามการทำสัญญา หรือการรวมกัน หรือตกลงร่วมกันที่มีผลจำกัดการค้า หรือการพาณิชย์ระหว่างรัฐ หรือกับต่างประเทศ (2) การผูกขาด หรือใช้อำนาจเหนือตลาดโดยมิชอบหลักสำคัญ คือการห้ามทำการผูกขาด หรือพยายามที่จะทำการผูกขาด หรือรวมกัน หรือสมคบกับบุคคลอื่นๆ เพื่อผูกขาดทางการค้า หรือการพาณิชย์ระหว่างรัฐ หรือกับต่างชาติ ด้วยวิธีการที่ต่อต้านการแข่งขัน (3) การรวมธุรกิจ หรือการรวมตัวกันของผู้ประกอบธุรกิจหลักสำคัญ คือการห้ามบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการค้า หรือกิจกรรมใดๆ ที่กระทบต่อการค้า ได้มาซึ่งหุ้นหรือทรัพย์สิน โดยทางตรงหรือทางอ้อมของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการค้าหรือกิจกรรมที่กระทบต่อการค้าที่มีผลลดการแข่งขันอย่างมาก หรือมีแนวโน้มที่จะผูกขาด
เพื่อให้การแข่งขันทางธุรกิจการค้ามีความเป็นธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ประกอบการ ผู้บริโภค และสังคมโดยรวมหลายประเทศได้ออกกฎหมายป้องกันการผูกขาด หรือกฎหมายการแข่งขันทางการค้า
หลักสากลของกฎหมายการแข่งขันทางการค้า คือ (1) ห้ามการใช้อำนาจเหนือตลาดโดยมิชอบ (Abuses ofa Dominant Power) (2) ห้ามการตกลงร่วมกันที่ทำลายขัดขวาง หรือจำกัดการแข่งขัน (Agreements that Restrict Competition) (3) ห้ามการรวมธุรกิจที่ก่อให้เกิดการผูกขาด (Merger Control) (4) ห้ามการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม (Unfair Trade Practice)
สำหรับประเทศไทย มีพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 มีวัตถุประสงค์สำคัญ คือกำกับดูแลธุรกิจให้แข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ห้ามไม่ให้ผู้มีอำนาจเหนือตลาดห้ามไม่ให้ผู้ประกอบการร่วมกันกระทำการผูกขาด ห้ามผู้ประกอบการดำเนินการกระทำใดๆที่ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม หรือการกีดกันการแข่งขัน เพื่อไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาแข่งขันหรือต้องออกจากตลาดไป
กฎหมายการแข่งขันทางการค้าล้วนต่างไม่ต้องการให้ผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความสามารถเหนือกว่าคู่แข่ง อาศัย “ความใหญ่” เอาเปรียบคู่ค้าและผู้บริโภค คงต้องตามดูต่อไปว่า คดีกูเกิ้ลจะจบลงอย่างไร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี