การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา ได้สร้างความสนใจให้แก่ชาวโลกเป็นอย่างมาก เพราะคู่ชิงประธานาธิบดีทั้งสองคน คือ โรนัลด์ ทรัมป์ และ โจ ไบเดน มีนโยบายในการหาเสียง ต่างกันสุดขั้ว ไม่ว่าใครจะได้รับเลือก เป็นประธานาธิบดี ย่อมมีผลกระทบต่อประชาคมโลก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จะมีข่าว ที่กล่าวถึงผู้สมัครจากพรรคเดโมเครต และพรรครีพับลิกัน ราวกับว่ามีผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียง 2 คนเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วจะมีผู้สมัครรับเลือกตั้งหลายคน บางครั้งอาจมากกว่า 10 คน ส่วนมากบุคคลเหล่านั้นมักจะถูกมองว่า เป็นม้านอกสายตา และอยากดัง อย่างไรเสียก็ไม่มีโอกาสได้รับเลือก สื่อมวลชนจึงไม่ได้กล่าวถึง
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่ได้เป็นการเลือกตั้งทางตรง แม้ว่าประเทศสหรัฐอเมริกาจะเป็นประชาธิปไตย แต่กลับเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม
ประชาชนสหรัฐ เมื่อลงคะแนนเลือกประธานาธิบดี จะเลือก 2 ครั้ง ครั้งแรกจะเลือกคณะผู้แทนประจำมลรัฐ เพื่อให้คณะผู้แทน ไปออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกครั้ง เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเรียกว่า Electoral Vote ครั้งที่สองเป็นการเลือกประธานาธิบดีแบบทางตรง เรียกว่า Popular Vote ถือเป็นคะแนนเลือกตั้ง ที่ไม่เป็นทางการ เพราะไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่ถือว่าเป็นสิ่งชี้วัดที่สำคัญ
จำนวน Electoral Vote ในแต่ละรัฐ จะเท่ากับจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรัฐนั้น (ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร) รวมกับจำนวนที่วุฒิสมาชิก (รัฐละ 2 คน) ส่วนกรุง Washington D.C. ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ จะมี Electoral Vote 3 เสียง เป็นกรณีพิเศษ
Electoral Vote ทั้งประเทศจะมีทั้งหมด 538 เสียง ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ที่ได้รับคะแนนเสียง Electoral Vote เกินครึ่งจะได้เป็นประธานาธิบดี ดังนั้นเป็นธรรมเนียมที่ถือว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้รับคะแนนเสียง Electoral Vote 270 เสียง จึงจะเป็นประธานาธิบดี
คณะผู้แทน ที่จะไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีเรียกว่า Electoral College ซึ่งจะไปออกเสียงลงคะแนนในวันที่ 14 ธันวาคม 2563 ในกรุง
Washington D.C. และผู้ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีจะเข้ารับตำแหน่ง เพื่อบริหารประเทศสหรัฐอเมริกาในวันที่ 20 มกราคม 2564
หากพิจารณาตามหลักตรรกะวิทยา ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้รับคะแนน Popular Vote ซึ่งเป็นการเลือกทางตรงมากกว่า สมควรที่จะได้รับคะแนน Electoral Vote ซึ่งเป็นการเลือกทางอ้อมมากกว่าเช่นกัน และควรจะได้เป็นประธานาธิบดี
แต่แนวคิดนี้ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งที่แล้วเมื่อ ปีพ.ศ. 2559 ฮิลลารี คลินตัน ได้รับคะแนน Popular Vote มากกว่า แต่โรนัลด์ ทรัมป์ ได้รับคะแนน Electoral Vote มากกว่าจึงได้เป็นประธานาธิบดี ส่วนฮิลลารี คลินตัน จึงพลาดโอกาสเป็นประธานาธิบดีอย่างน่าเสียดาย เหตุการณ์ทำนองนี้ได้เกิดขึ้นมาทั้งหมดแล้วถึง 5 ครั้ง ในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐธรรมนูญสหรัฐกำหนดไว้ว่า ผู้ที่ได้รับเลือก Electoral Vote ชนะในรัฐใด จะได้คะแนนเสียงทั้งหมดของ Electoral Vote ในรัฐนั้น (Winner takes all)รัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ร่างเมื่อ 200 กว่าปีก่อน ในสมัยนั้นการนับคะแนนทำได้ล่าช้า และการเดินทางลำบาก หากจะกำหนดให้เป็นการเลือกตั้งทางตรงและรวมคะแนนทั้งหมดเพื่อเป็นผลจากแพ้ชนะ ทำให้ไม่สะดวกและใช้เวลานานเกินไป จึงกำหนดเป็นการเลือกตั้งแบบคณะผู้แทน ซึ่งเหมาะสมสำหรับในยุคนั้น แต่อาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
ล่าสุดแม้ผลการนับคะแนน ยังไม่เสร็จอย่างเป็นทางการ โจ ไบเดน ได้รับคะแนน Electoral Vote ถึง 279คะแนน ในขณะที่โรนัลด์ ทรัมป์ ได้เพียง 214 คะแนน
แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้แสดงท่าทีว่า ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าถูกโกง และมีข้อพิรุธ นอกจากนี้ยังกล่าวได้ว่า จะไม่ให้ความร่วมมือใดๆ ในการส่งมอบตำแหน่งประธานาธิบดี และจะใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้การเลือกตั้งต้องนับคะแนนใหม่และอาจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
ประเด็นนี้นับว่าไม่เกินความคาดหมายของผู้สังเกตการณ์ทางการเมือง เพราะทรัมป์ เมื่อเป็นนักธุรกิจก่อนที่จะเป็นประธานาธิบดี ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาคาร และอสังหาริมทรัพย์ เมื่อจ้างสถาปนิก และผู้รับเหมาให้ก่อสร้างมักจะมีปัญหาไม่จ่ายเงินงวดสุดท้าย ทำให้เจ้าหนี้หลายรายถอดใจ ไม่ฟ้องคดีเรียกเงินงวดสุดท้าย เพราะค่าทนายความในประเทศสหรัฐอเมริกาแพงมาก อาจไม่คุ้มหรือได้ไม่เท่าเสีย
หากผลการเลือกตั้งปรากฏว่า โจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดี และ ประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่ยอมให้ความร่วมมือในการส่งมอบอำนาจ ให้โจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งและบริหารงานเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 20 มกราคม 2564 นับว่าเป็นเรื่องที่ต้องจับตามอง
เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปีพ.ศ.2344 ที่ประธานาธิบดีจอห์น อดัมส์ ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนที่สองของสหรัฐอเมริกาแพ้การเลือกตั้ง โทมัส เจฟเฟอร์สัน ประธานาธิบดีคนใหม่ และไม่ยอมส่งมอบอำนาจให้ ซึ่งไม่มีกฎหมายบังคับใช้ในขณะนั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เมื่อถึงเวลาต้องส่งมอบอำนาจ เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนหยุดการติดต่อและหยุดการปฏิบัติงานให้แก่อดีตประธานาธิบดีจอห์น อดัมส์ ในที่สุดอดีตประธานาธิบดีจอห์น อดัมส์ไม่สามารถทนอยู่ในทำเนียบขาวต่อไปได้ และต้องออกจากทำเนียบขาวไปอย่างอัปยศอดสู
เหตุการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นอีก เมื่อกงล้อประวัติศาสตร์ได้หมุนเวียนกลับมาอีกครั้ง
ไม่ว่าการเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกาจะเป็นเช่นไรยังถือว่ามีภาพที่สวยงาม ในการแข่งขันนำเสนอนโยบายให้ประชาชนเลือก ถ้าประชาชนเลือกผิดเท่ากับถูกลงโทษ ต้องเจ็บปวดและจดจำไปจนกว่าจะเลือกตั้งใหม่ ต้องยอมรับผลของการตัดสินใจและการเลือกของตนเอง
ภาพเช่นนี้ยังไม่ค่อยเห็นได้ชัดเจนในประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี