nn สัปดาห์ก่อน...เศรษฐศาสตร์วันหยุด...ได้นำเสนอบทความเรื่อง...ต่อสัญญา BTS...ลากยาวเป็นมหากาพย์...ตอนที่ 1 ไปและตั้งใจว่าจะมานำเสนอตอนจบใน...เศรษฐศาสตร์วันหยุด ฉบับวันที่ 20 ธ.ค.นี้แต่เกรงว่าเวลาจะเนิ่นนานเกินไป จึงขออนุญาตมานำเสนอตอนจบใน...หมุนตามทุน...วันนี้เสียจะดีกว่า...
เรื่องของเรื่องก็มาจาก...การขยายสัญญาสัมปทานหรือต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว 30 ปี ให้กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) และกระทรวงมหาดไทย ที่ถูกกระทรวงคมนาคมกระตุกเบรกหัวทิ่ม เพราะจัดทำความเห็นทัดทานแบบ “หมูไม่กลัวน้ำร้อน”ทำเอา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ถึงกับ “หัวร้อน” ขึ้นมาทีเดียว!
ก่อนหน้านี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเรียกทั้งสองฝ่ายมาหารือกันเพื่อให้ได้ข้อยุติ แต่ก็ยังไม่สามารถจะสยบศึกร้าวลึกนี้ลงได้!....โดยประเด็นสำคัญที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ก็คือเรื่องของราคาค่าโดยสาร ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดย กทม.กำหนดไว้ไม่เกิน 65 บาทตลอดสาย (68.2 กม.) ขณะที่กระทรวงคมนาคมโดยกรมขนส่งทางรางเห็นว่า ยังเป็นราคาที่สูงเกินไป น่าจะยังเจรจาต่อรองลงมาได้อีกพร้อมทั้งเกทับว่า อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงินที่ BEM ให้บริการอยู่ภายในการกำกับของกระทรวงคมนาคมนั้นต่ำกว่าเข้าไปอีก
ล่าสุด คณะกรรมาธิการ (กมธ.)คมนาคม ที่มีนายโสภณ ซารัมย์ อดีต รมว.คมนาคม เป็นประธานกมธ.ก็กระโดดเข้ามาร่วมวงไพบูลย์เขย่าติ้วการขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายนี้ด้วย จึงทำให้ทุกฝ่ายจับตาอย่ากะพริบ เส้นทางการขยายสัญญาสัมปทานจะจบลงอย่างไร และมีการวิเคราะห์กันต่อไปด้วยว่า กระทรวงคมนาคม กำลังจับเอาโครงการนี้เป็นเครื่องต่อรอง เพื่อบีบกลุ่ม BTS ให้รามือจากการประมูลสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กำลังโม้แป้งอยู่
ทั้งนี้ สิ่งที่ กมธ. ติดใจมี 3 ประเด็น ด้วยกันคือ..1.เหตุใดจึงต้องเร่งพิจารณาต่อสัญญาณกันในช่วงนี้ ทั้งที่ยังมีเวลาจนถึงปี 2572 2.ที่มีของการคำนวณค่าโดยสารตลอดสายสูงสุด ไม่เกิน 65 บาทนั้น มีที่มาอย่างไร ซึ่งก่อนหน้านี้แม้ กทม. จะได้ชี้แจงต่อกมธ.แล้วแต่ยังไม่ชัดเจน จึงให้ไปจัดทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรกลับมาอีกครั้ง และ 3.ประเด็นความครบถ้วนตามมติ ครม.เมื่อปี 2561 ซึ่งหากข้อมูลที่ชี้แจงมามีความกระจ่างเพียงพอก็จบไป ทางกรรมาธิการก็คงรายงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป แต่หากยังไม่กระจ่างก็ต้องว่ากันไปตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่
ด้านนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯกทม.กล่าวว่า หากรับฟังข้อมูลของ กทม. ที่ออกมายอมรับก่อนหน้านี้ว่าขาดสภาพคล่องไม่สามารถจะแบกรับภาระหนี้จากการก่อสร้างที่มีรวมกันกว่า 84,000 ล้าน มีภาระดอกเบี้ยอีกปีละกว่า 1,500 ล้านและค่าจ้างเดินรถอีกปีละกว่า 5,000 ล้าน ทำให้ กทม.ไม่มีทางเลือกจึงต้องเร่งพิจารณาต่อสัญญาให้เอกชนรับโครงการออกไปบริหารจัดการ
ส่วนเรื่องของค่าโดยสารที่กำหนดไว้สูงสุดไม่เกิน 65 บาทนั้น หากคำนวณตามสูตรที่กระทรวงคมนาคมกำหนดไว้ คือ ค่าแรกเข้า 15 บาท บวกค่าโดยสารกม.ละ 3 บาทแล้ว ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวจะสูงถึง 158 บาท แต่ในการเจรจาเพื่อต่อสัญญาสัมปทานที่จะมีขึ้น กทม. ได้เจรจาปรับลดค่าโดยสารสูงสุดไม่เกิน 65 บาท ซึ่งอัตราดังกล่าวเทียบกับค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินของ รฟม.ที่จัดเก็บอยู่ 44 บาท ต่อการให้บริการระยะทาง 26 กม.นั้น เห็นได้ว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ยังต่ำกว่ามากทั้งที่เอกชนเป็นผู้แบกรับภาระลงทุนเอง นอกจากนี้ยังกำหนดให้ BTS ต้องจ่ายส่วนแบ่งให้กับ กทม.ตลอดสัญญาอีก 200,000 ล้าน ขณะที่สายสีน้ำเงิน ไม่มีการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ใดๆ คืนให้รัฐ
กับจุดยืนและเหตุผลของกระทรวงคมนาคม ที่ออกมาทักท้วงการขยายสัญญา และเกทับ เรื่องอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินของ BEM ที่ให้บริการอยู่ต่ำกว่า แต่เนื้อแท้ที่กระทรวงคมนาคม และ รฟม. ไม่ได้กล่าวถึงเลยก็คือ มูลเหตุที่ทำให้ BEM จัดเก็บค่าโดยสารได้ต่ำในเวลานี้ เพราะรัฐได้เข้าไปแบกรับภาระค่าลงทุนส่วนงาน Civil work และค่าเวนคืนแทนเอกชนทั้งหมด เอกชนเพียงแต่ลงทุนตัวระบบรถไฟฟ้าแค่ 20-30% ของมูลค่าลงทุนเท่านั้น แต่กระนั้นหากเปรียบเทียบค่าโดยสารปลายทางที่ออกมาแล้วค่าโดยสารรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน ไม่ได้ต่ำกว่าแต่อย่างใด แถมยังจะสูงกว่าเสียด้วยซ้ำ
แม้ว่าจะเจอย้อนศรประเด็นเหล่านี้ไปแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนกระทรวงคมนาคมจะยังคงไม่ยอมรามือและยังคงดั้นเมฆจะลากเอา โครงการขยายสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสนี้ ไปผูกโยงกับการประมูลรถไฟฟ้า สายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี ระยะทาง 35.9 กม.วงเงินลงทุนกว่า 1.42 แสนล้านบาท ที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กำลังดิ้นรนอย่างหนักอยู่ตอนนี้
แม้ก่อนหน้านี้ศาลปกครองกลางจะมีคำสั่งคุ้มครองและทุเลาการบังคับใช้เกณฑ์การประมูลสุดอื้อฉาวของ รฟม.ที่ลุกขึ้นมาปรับรื้อเกณฑ์คัดเลือกกลางอากาศ หลังจากขายซองประมูลไปกว่า 2 เดือน แต่กระนั้น รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ก็ยังคงดึงดัน จะใช้เกณฑ์ประมูลดังกล่าวอย่างไม่ลดละ โดยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองและทุเลาการบังคับหลักเกณฑ์ประมูลอื้อฉาวดังกล่าว แต่จนแล้วจนรอด ศาลปกครองสูงสุดก็ยังไม่มีคำสั่งใด ๆ ลงมาจนกระทั่งวันนี้
สิ่งที่ทุกฝ่ายได้แต่ “อึ้งกิมกี่” กับพฤติกรรม “ลับ ลวง พราง” ของ รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 ก็คือ ขณะที่ รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ขอเลื่อนการยื่นคำชี้แจงต่อศาลปกครองกลางถึงไปถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเลื่อนยื่นคำชี้แจงไป 28 พ.ย. 2563 และครั้งที่ 2 ขอเลื่อนไปเป็น 15 ธ.ค. 2563 แต่ในอีกด้าน รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกกลับดอดไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองและทุเลาการบังคับใช้เกณฑ์พิจารณาคัดเลือกใหม่ดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุด ด้วยข้ออ้าง“เป็นโครงการเร่งด่วน” ไม่สามารถรอฟังคำขี้ขาดของศาลปกครองกลางได้....จนทำให้ทุกฝ่าย ได้แต่ตั้งข้อกังขาว่า ตกลงโครงการนี้ เป็นโครงการเร่งด่วนดังที่ รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกยืนยันแน่หรือ?
เพราะหากเป็นโครงการเร่งด่วนจริง เหตุใด รฟม.ถึงไม่เร่งยื่นคำชี้แจงเหตุผล ความจำเป็นในการรื้อเกณฑ์คัดเลือก เพื่อที่ศาลปกครองจะได้เร่งพิจารณาชี้ขาดลงมา หรือหากอยากพิสูจน์ว่าอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าเปรียบเทียบที่เป็นจริงควรเป็นเท่าไหร่นั้น ก็น่าจะมาพิสูจน์กันที่การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มนี้กันไปเลย จะไปปรับเปลี่ยนรื้อหลักเกณฑ์พิจารณา
คัดเลือกให้ยุ่งเหยิงทำไมกัน เหตุใดจึงไม่ประมูลไปตามหลักเกณฑ์เดิมเพื่อเปิดทางให้ทั้ง BTS และ BEM ได้ขับเคี่ยวและสู้กันบนพื้นฐานเดียวกันเพื่อที่ทุกฝ่ายจะได้กระจ่างว่าราคาค่าโดยสารของ BEM ต่ำกว่า BTS จริงหรือไม่ ????
สรุปก็คือเมื่อมีการนำประเด็นจากโครงการอื่นๆมาผูกโยงกัน เพื่อหวังผลในการเจรจาต่อรองกัน ก็ยากที่จะได้ข้อสรุปเรื่อง การขยายสัญญาสัมปทานหรือต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว...
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี