nn ก่อนหน้านี้หลายสำนักวิชาการได้ออกมาประมาณการภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี’64 ซึ่งทั้งหมดก็เห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจไทยจะได้แรงหนุนสำคัญจากภาคการส่งออก ซึ่งจะฟื้นตัวจากปีนี้ที่ติดลบประมาณ 6-7% เป็นขยายตัวได้ 3-5% ซึ่งมีปัจจัยบวกจากที่หนุนการส่งออกของไทย ได้แก่ การที่ไทยร่วมลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ครอบคลุมตลาดที่มีประชากรรวมกันถึง 2.2 พันล้านคน ซึ่งคิดเป็น30% ของประชากรโลก GDP ครอบคลุมถึง 30% ของ GDP โลก และมีมูลค่าการค้ารวมกว่า 10.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเกือบ28% ของมูลค่าการค้าโลก
นอกจากนี้ ความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 จากหลายบริษัททั่วโลก ก็เป็นอีกปัจจัยบวกสำหรับการเจรจาการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ และจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวกลับมา และสินค้ากลุ่มอาหารและกลุ่มเวชภัณฑ์ทางการแพทย์อาทิ ถุงมือยางและกลุ่มสินค้า Work From Home ยังมีมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในบางประเทศที่ยังไม่คลี่คลายเท่าที่ควร รวมทั้งระดับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นกว่าปี 2563 ก็จะช่วยหนุนราคาพืชพลังงานและสินค้าที่เกษตรเกี่ยวโยงกับราคาปิโตรเลียม อย่างเช่น ยางพารา
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ล่าสุดของกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าปัจจุบัน ทิศทางการส่งออกหลายๆ อย่างส่งสัญญาณดีขึ้น เช่น คำสั่งซื้อหลายรายการสินค้ากลับมาที่ไทยด้วย 2 เหตุผลหลัก คือ 1.โลจิสติกส์ไทยไม่ได้ปิด และ2.ไทยไม่มีสถานการณ์การติดเชื้อที่ทำให้ต้องหยุดการผลิตสินค้า ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยความมั่นใจกับสถานการณ์การปลอดเชื้อในประเทศ ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นเรื่องสุขอนามัยเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยในปี’64หนทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้จะมีปัจจัยหนุน แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงรออยู่หลายปัจจัยเช่นกัน เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่อาจจะกลับมาขยายตัวได้เต็มศักยภาพ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่แม้จะดูเหมือนว่าลดความรุนแรงลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอยู่ และอาจส่งผลกระทบต่อไทยด้วยเช่นกัน นอกจากที่ การที่โควิด-19ที่ยังคงระบาดอยู่ ก็จะยังส่งผลให้การเดินทางค้าขายข้ามประเทศยากขึ้นเช่นเดิม และที่ดูเหมือนจะหนักหนาสาหัสที่สุดก็คือเรื่องเงินบาทแข็งค่าซึ่งคาดการณ์ว่าอาจจะขึ้นไปแตะระดับ 29-30บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแน่นอนว่ากระทบความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลกโดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ในระนาบเดียวกันกับคู่แข่งทางการค้า โดยเฉพาะเวียดนาม
คำถามต่อไปก็คือ แล้วจะทำอย่างไรเพื่อให้การส่งออกไทยฝ่าด่านปัจจัยลบเหล่านี้ไปได้แน่นอนว่าหนึ่งหนทางคือต้องเพิ่มตลาดใหม่ เพื่อขยายโอกาสให้สินค้าไทยมากขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์ต้องเชื่อมโยงไทยกับภูมิภาคและทั่วโลกให้มากที่สุด รวมทั้งต้องให้ความสำคัญกับประเด็นต่างๆ ที่อาจจะถูกหยิบเอามาเป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้าไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน แรงงาน ทรัพย์สินทางปัญญา สิ่งแวดล้อม ฯลฯ
นอกจากนี้ ไทยต้องเริ่มคิดและให้ความสำคัญกับกระบวนการทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) หมายความว่าจากนี้ไปการจะส่งออกสินค้าตัวไหนจะต้องคิดตั้งแต่ เรื่องวัตถุดิบ เรื่องของการแปรรูป เรื่องของกระบวนการทางการตลาด เพื่อให้รายได้ตกอยู่ในประเทศไทยมากที่สุดซึ่งต้องยอมรับความจริงว่าปัจจุบันนี้สินค้าส่งออกหลายตัว สุดท้ายไทยได้แค่ค่าแรงเท่านั้น
อีกเรื่องที่สำคัญคือเรื่องความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งนอกจากประเด็นของเรื่องค่าเงินบาทแล้ว รัฐต้องเร่งลดต้นทุนแฝงของผู้ส่งออกไทยที่มีค่อนข้างสูง เนื่องจากกฎระเบียบของไทยที่มีความล้าหลัง รวมถึงมีขั้นตอนดำเนินงานที่ไม่จำเป็นที่ค่อนข้างมาก ทำให้ต้นทุนในการประกอบธุรกิจค่อนข้างสูง ทั้งด้านโลจิสติกส์ ค่าธรรมเนียมตั้งแต่ขั้นตอนการตั้งโรงงาน การผลิต ส่งออก ภาครัฐ และธนาคาร ฯลฯ ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนที่สูงกว่าคู่แข่ง
ล่าสุด สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ได้มีข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลว่า หากจะทำให้การส่งออกของไทยในปี’64กลับมาเป็นบวกได้อย่างประมาณการกันไว้ ภาครัฐจะต้องสนับสนุนช่วยเหลือผลักดันส่งออกในหลายด้าน เช่น เร่งแก้ไขสถานการณ์ขาดแคลนตู้สินค้าและการปรับขึ้นค่าระวางทุกเส้นทาง ดูแลให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพในการแข่งขันและใช้มาตรการทางการเงินเพื่อลดความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อไม่เป็นการซ้ำเติมการส่งออกซึ่งเป็นเครื่องจักรหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย รวมถึงเร่งประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้ผู้ส่งออกทั่วไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเงินในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน พร้อมทั้งเร่งปรับปรุงโครงสร้างค่าธรรมเนียมเพื่อลดต้นทุนแฝงในการส่งออก ทั้งด้านการผลิต ด้านการส่งออก (การตลาด การขออนุญาตส่งออก/นำเข้าตามพิธีการศุลกากร) ด้านการเงินและภาษีอากร ด้านการขนส่งระหว่างประเทศ (เรือ ราง อากาศ รถ) อันจะส่งผลกระทบและขีดความสามารถในการแข่งขันของทั้งผู้ส่งออกและผู้ประกอบการตลอดทั้งซัพพลายเชน และเร่งพัฒนาระบบ NSW ของไทย ให้เป็นระบบ Single Submission เพื่อเป็นการปรับลดขั้นตอนและระยะเวลาของพิธีการทางศุลกากร และจะต้องมีการจัดทำ Data Harmonization ใหม่ เพื่อรองรับการส่งข้อมูล ขาเข้า/ขาออก ณ จุดเดียวและเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงข้อมูลใบอนุญาต/ใบรับรอง ซึ่งจะลดต้นทุนให้ผู้ส่งออกและแข่งขันในตลาดได้
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี