สุขภาพการเงินไม่ต่างอะไรจากสุขภาพร่างกาย ที่คนเราต้องหมั่นตรวจสอบเป็นประจำ เพื่อคอยติดตามว่าสถานะการเงินของเราเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี มีอะไรต้องปรับปรุงแก้ไข และที่สำคัญมันสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน และสนับสนุนเป้าหมายชีวิตของเราได้แค่ไหน
ในแต่ละปีตัวผมเองก็จะตรวจสุขภาพการเงินของตัวเอง ด้วยตัวชี้วัด 4 ตัวสำคัญ ดังต่อไปนี้ครับ
1. อัตราส่วนการออม
อัตราส่วนนี้เป็นตัวบอกว่า เราแบ่งเงินไปสะสมเพื่ออนาคตมากน้อยแค่ไหน ระดับที่ดีและมีผลต่อความมั่งคั่งในอนาคต ก็คือ มากกว่า 10% ขึ้นไป ถือว่าเป็นอัตราที่ดี
วิธีวัดก็ไม่ยากครับ ลองเอาเงินที่เราตัดไปออมหรือลงทุนในแต่ละเดือน อาทิ เงินฝาก ประกัน หรือกองทุนต่างๆ (รวมกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วย) บวกกันทั้งหมดแล้วหารด้วยรายได้รวมต่อเดือน หรือจะคิดทีเดียวทั้งปีก็ได้ แล้วคูณด้วย 100 เพื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์
เช่น นายจักรพงษ์ มีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน หักสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทุกเดือน 5% (1,500 บาท) และหักซื้อกองทุน RMF ทุกเดือน เดือนละ 3,000 บาท แบบนี้นายจักรพงษ์ ก็จะมีอัตราส่วนการออมเท่ากับ 15% ซึ่งถือว่า ดี
2. อัตราส่วนเงินชำระคืนหนี้
อัตราส่วนนี้เป็นอัตราส่วนที่คอยเตือนเราว่า เรากำลังมีหนี้สินเกินตัวไปหรือเปล่า โดยอธิบายว่าหากเราหาเงินในแต่ละเดือนได้100 บาท เราต้องนำเงินรายได้นี้ไปจ่ายหนี้สินทั้งสิ้นกี่บาท ซึ่งอัตราส่วนเงินชำระหนี้ที่ดี ไม่ควรเกิน 40%
วิธีวัดก็ให้นำรายจ่ายหนี้ทั้งหมดในแต่ละเดือน ไม่ว่าจะเป็นเงินผ่อนบ้าน เงินผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต ผ่อนสินเชื่อต่างๆ รวมกันแล้วหารด้วยรายได้ต่อเดือน แล้วคูณด้วย 100 เพื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์
ตัวอย่างเช่น นายจักรพงษ์ มีรายได้ 30,000 บาท มีภาระผ่อนหนี้บ้าน 9,000 บาท แล้วก็ผ่อนสินเชื่อสหกรณ์ออมทรัพย์ 3,000 บาท แบบนี้นายจักรพงษ์ก็จะมีอัตราส่วนเงินชำระคืนหนี้เท่ากับ40% อันนี้ถือว่ายังพอไหว แต่ต้องระวัง ไม่ควรสร้างหนี้เพิ่มไปกว่านี้
3. ระดับเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน
อัตราส่วนนี้ คือ สิ่งที่บอกว่าชีวิตเราพร้อมรับมือกับเรื่องไม่คาดฝัน โดยเฉพาะเรื่องของการสูญเสียรายได้มากแค่ไหน ที่ดีแล้วคนเรามีอัตราส่วนนี้เกิน 6 ซึ่งแปลความหมายได้ว่า หากตกงานหรือไม่มีรายได้เข้ามาเลย เราจะยังสามารถดำรงชีวิตอยู่แบบไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน ได้อีกอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ได้มาก แต่ทำให้ชีวิตเราพอมีเวลาคิด เวลาตัดสินใจเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ได้
วิธีวัดอัตราส่วนนี้ ทำได้โดยการรวบรวมมูลค่าสินทรัพย์สภาพคล่องทั้งหมด อาทิ เงินฝาก สลากออมทรัพย์ กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ ทองคำ ฯลฯ บวกกันทั้งหมด แล้วหารด้วยค่าใช้จ่ายรวมต่อเดือน ได้ตัวเลขออกมาเท่าไหร่ก็เท่านั้นไม่ต้องทำเป็นเปอร์เซ็นต์
ที่ต้องเลือกสินทรัพย์สภาพคล่อง เพราะหากเราตกงาน หรือขาดรายได้ เราต้องการเงินสดเข้ามือเร็ว ซึ่งสินทรัพย์สภาพคล่อง คือ สินทรัพย์ที่แปลงเป็นเงินสดได้เร็ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ได้ดูแต่ความคล่องตัวอย่างเดียว ต้องดูเรื่องของความผันผวนของมูลค่าด้วย อย่างเช่น หุ้น หรือกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น กลุ่มนี้ก็มีสภาพคล่องที่ดีแต่เนื่องจากมูลค่ามีความขึ้นลง จึงไม่เหมาะที่จะนับเป็นเงินสำรอง (เหมาะกับสะสมความมั่งคั่งมากกว่า)
ตัวอย่างเช่น นายจักรพงษ์ มีเงินสดฝากไว้ในธนาคาร 100,000 บาท มีสลากออมสิน 20,000 บาท มีกองทุนรวมตลาดเงิน 30,000 บาท ถ้านายจักรพงษ์มีรายจ่ายต่อเดือน 25,000 บาท แบบนี้จะถือว่านายจักรพงษ์ มีอัตราส่วนเงินสำรองเท่ากับ 6 เดือน ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี
4. ความมั่งคั่งสุทธิ
ตัวชี้วัดตรวจวัดสุขภาพการเงินตัวสุดท้าย คือ ความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth) หรือทรัพย์สินสุทธิ ตัวชี้วัดนี้จะบอกมูลค่าทรัพย์สินที่ปลอดภาระของเรา ซึ่งแสดงถึงความมั่งคั่งที่แท้จริงของเราได้เป็นอย่างดี โดยปกติความมั่งคั่งสุทธิที่ดี คือ มีค่าเป็นบวก และจะดีมากขึ้น ถ้าบวกเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี
วิธีวัดก็ง่าย ๆ ให้เรารวบรวมรายการทรัพย์สินและหนี้สินมาหักลบกัน เช่น หากนายจักรพงษ์ รวบรวมรายการทรัพย์สินแล้วพบว่ามีมูลค่าทรัพย์สินรวม 3,000,000 บาท และเมื่อรวบรวมรายการหนี้ในชื่อตัว ก็พบว่ามีอยู่ 2,000,000 บาท
กรณีแบบนี้ นายจักรพงษ์ก็จะมีความมั่งคั่งสุทธิเท่ากับ 1,000,000 บาท ซึ่งถือว่าดี และถ้าปีต่อไปบวกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆก็จะถือว่ายิ่งดีมาก
จะสังเกตว่าทั้ง 4 ตัวชี้วัดที่ผมเล่าให้ฟังข้างต้น ไม่ได้มีวิธีคิดวิธีการคำนวณที่ยุ่งยากเลย แถมเมื่อคิดคำนวณออกมาได้แล้ว ก็จะช่วยทำให้เราวางแผนการเงิน หรือคอยติดตามระมัดระวังทั้งการใช้จ่ายและการออมการลงทุนได้เป็นอย่างดี
โดยปกติผมจะตรวจวัดสุขภาพการเงินตัวเองในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ ทำไปพร้อมๆ กับการวางแผนการเงินและภาษี รวมถึงมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวของเงินตัวเอง และผมเองก็อยากให้ทุกท่านนำตัวชี้วัดสุขภาพการเงินนี้ ไปลองใช้ดูในทุกๆ ต้นปี เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นการเงินที่ดี
แต่หากใครยังไม่เคยลองวัด ไม่เคยลองทำ ผมแนะนำว่าเริ่มต้นครั้งแรกวันนี้เลยครับ ไม่ต้องรอให้ถึงปีใหม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี