nn เป็นประเด็นขัดแย้งในสังคมไทยมาหลายปีเรื่องการนำรถยนต์ส่วนตัวมาให้บริการขนส่งผู้โดยสาร แต่ด้วยเงื่อนไขและบริบทของสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะกระแสของพฤติกรรมผู้บริโภค ที่นิยมเลือกใช้บริการด้านต่างๆ ผ่านแอพพลิเคชั่นมากขึ้น และอัตราเร่งของการเติบโตมากขึ้นทุกปี จึงเป็นเรื่องที่สำควรที่ภาครัฐควรจะหยิบเรื่องนี้มาศึกษาเพื่อหาแนวทางวางกฎระเบียบ สร้างกติกาที่ชัดเจนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อทำให้ผู้ให้บริการแบบเดิมและรูปแบบใหม่สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่เกิดขัดแย้ง และยังประโยชน์สูงสุดต่อผู้รับบริการ
ล่าสุดกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม จัดเวทีเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารแบบบริการทางเลือก พ.ศ. …. (ร่างกฎกระทรวงฯ) โดยมีนายธานี สืบฤกษ์ รองอธิบดี (ฝ่ายบริหาร) เป็นประธาน และมีหน่วยงานในสังกัดกรมการขนส่งทางบก รวมถึงตัวแทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจทางหลวง กสทช. สคบ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.ธรรมศาสตร์ผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่น ภาคประชาชนผู้ใช้บริการ กรมการท่องเที่ยว กลุ่มผู้ให้บริการแท็กซี่สาธารณะ ฯลฯ เข้าร่วมประชุม รวมกันกว่า 100 คนณ ห้องประชุม 1 อาคาร 1 ชั้น 3 กรมการขนส่งทางบก
ทั้งนี้ นายธานีกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กรมได้เปิดเวทีสาธารณะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียผ่านช่องทางออนไลน์มาก่อนแล้ว แต่เพื่อให้การแสดงความคิดเห็นที่รอบด้านจึงได้เปิดเวทีนี้ขึ้นมา เพื่อนำมาประกอบการพิจารณานำไปสู่การออกกฎกระทรวงในโอกาสต่อไปหลังจากนั้น ได้เปิดให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายแสดงความเห็น ร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
ด้านดร.สุทธิกร กิ่งแก้ว หัวหน้าโครงการศึกษาและวิจัย CONC Thammasat ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ส่วนตัวสนับสนุนให้นำรถยนต์ส่วนบุคคลมาจดทะเบียนเพื่อให้บริการ รับจ้างผ่านแอพพลิเคชั่น และเข้ามาอยู่ในระบบอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่มีเพียงข้อ 3 ที่ระบุว่า การรับจดทะเบียนรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารแบบบริการทางเลือก จะจดทะเบียนในจังหวัดใดจำนวนเท่าใด ให้เป็นไปที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด นั้น เป็นการจำกัดโควตา เป็นความล้าหลังไม่ทันยุคเทคโนโลยีดิจิทัล เพราะสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ทั้งจำนวนผู้ให้บริการและจำนวนเที่ยวในแต่ละวัน ผู้ที่เข้ามาให้แบบบริการทางเลือก ส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพเสริม ไม่ต้องการการผูกมัด เรื่องเวลาการทำงานและรายได้ จึงต้องการให้ภาครัฐควรตัดข้อ 3 ออกไป เพื่อช่วยเหลือคนที่มีรายได้น้อยได้มีเงินเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัว
ขณะที่ นายสุรพงษ์ สุขปูรณะ ตัวแทนกลุ่มเครือข่ายรถยนต์รับจ้างแบบบริการทางเลือก(กลุ่มเครือข่าย) กล่าวว่า กลุ่มเครือข่ายเห็นด้วยและสนับสนุนร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว แต่ไม่เห็นด้วยกับกับร่างกฎกระทรวงข้อ 3 เพราะเป็นการจำกัดโควตา และยังจำกัดสิทธิของคนขับ หากเกิดกรณีที่มีผู้ต้องการใช้บริการมากในช่วงไพรม์ไทม์ ผู้ให้บริการก็จะหมดโอกาส และยังเสี่ยงให้เกิดระบบซื้อขายใบอนุญาตอีกด้วย
“การกำหนดโควตา เป็นการปิดโอกาสให้กับผู้ที่มีรายได้น้อย ผู้ที่ต้องการหารายได้พิเศษที่ต้องการมีรายได้มาจุนเจือครอบครัว ซึ่งข้อจำกัดเรื่อง จำนวนโควตา น่าจะเป็นเรื่องของทางบริษัทเป็นผู้กำหนด เพราะรู้จำนวน และปริมาณความต้องการใช้บริการมากกว่า”
นอกจากนั้น ยังมีร่างกฎกระทรวง ข้อ 4ที่กำหนดให้จดทะเบียนรถรับจ้างแบบบริการทางเลือกได้แค่คนละหนึ่งคัน นั้นทางเครือข่ายก็ไม่เห็นด้วย เพราะบางคนอาจจะนำรถของญาติ หรือ พ่อ แม่ มาให้บริการเพื่อหารายได้พิเศษ เนื่องจากยังไม่มีรถยนต์เป็นของตนเอง เป็นต้น
ด้านนายมารุต จันทะลือ ตัวแทนเครือข่ายอีกรายหนึ่งกล่าวว่า การนำรถยนต์ส่วนตัวมารับจ้าง ทำให้มีรายได้เสริม สามารถเลี้ยงครอบครัวในช่วงวิกฤติแบบนี้ ภาครัฐควรเปิดเสรีให้กับคนขับที่ให้บริการรถส่วนบุคคล เพื่อให้ทุกคนประกอบอาชีพได้อย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้
ส่วนดร.เก่งการ เหล่าวิโรจน์กุลผู้อำนวยการฝ่ายรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ บริษัท แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า ในฐานะผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่นแกร็บ รู้สึกยินดีที่กระทรวงคมนาคมเร่งผลักดันแก้ไขร่างกฎกระทรวงฯ เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถนำรถยนต์ส่วนบุคคลมาให้บริการรับจ้างสาธารณะผ่านแอพพลิเคชั่นได้อย่างถูกต้อง เปิดโอกาสสร้างรายได้ อีกทั้งยังสร้างทางเลือกแก่ประชาชนอีก อย่างไรก็ตาม ร่างกฎกระทรวงฯนี้ จะต้องก่อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ไม่ปิดกั้นโอกาสในการกระจายรายได้และการเติบโตของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี