ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปีพ.ศ. 2562 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด 3 ล้านล้านบาท โดย 1.9 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 63มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ นักท่องเที่ยวต่างชาติมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างมาก
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นแรงงานและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจสายการบินการขนส่งผู้โดยสาร โรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ดูไม่คลี่คลายลงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายได้ที่เคยได้รับ คงยากที่จะกลับคืนมาเหมือนเดิม ไม่รู้ต้องจะรอไปได้อีกนานแค่ไหน ที่จะทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีก
ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงหามาตรการเพื่อมากระตุ้นให้คนไทยออกมาเที่ยวกันมากขึ้น เพื่อพยุงให้ช่วยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศอยู่รอดได้
คณะรัฐมนตรี ได้ทุ่มงบประมาณ 22,400 ล้านบาทเพื่อดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศภายใต้โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชนผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง สนับสนุนการสร้างงานและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในองค์รวม ระยะเวลาโครงการระหว่าง 1 กรกฎาคม พ.ศ.2563-30 เมษายน พ.ศ. 2564 กระทรวงการคลังประเมินว่า “เราเที่ยวด้วยกัน” จะมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท
เงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการภาคประชาชน คือ เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
ประเภทกิจการที่สามารถเข้าร่วมโครงการ โรงแรม/ที่พัก ที่มีใบอนุญาตประกอบการธุรกิจโรงแรม และโรงแรมที่พักที่ไม่มีใบอนุญาตแต่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวตามรายชื่อของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร้านโอท็อปที่มีใบอนุญาตประกอบการตามกระทรวงมหาดไทยสปา/นวดเพื่อสุขภาพ (มีใบรับรองมาตรฐานสถานประกอบการ)รถเช่า/เรือเช่า (มีใบอนุญาตประกอบกิจการ)
การสนับสนุนส่วนลดค่าโรงแรมที่พัก รัฐบาลสนับสนุนค่าโรงแรมร้อยละ 40 ของราคาที่พักต่อห้องต่อคืน ทั้งนี้ไม่เกิน 3,000 บาท ต่อห้องต่อคืน
การสนับสนุนส่วนลดค่าอาหารและค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว รัฐบาลสนับสนุนคูปองอาหาร/ท่องเที่ยวให้กับประชาชน เมื่อเช็คอินโรงแรมสำเร็จวันจันทร์-พฤหัสบดี รับ 900 บาท และ วันศุกร์-อาทิตย์ รับ 600 บาทคูปองอาหาร/ท่องเที่ยวสามารถใช้ได้ที่ร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวที่ร่วมโครงการ โดยประชาชนชำระร้อยละ 60 และรัฐบาลสนับสนุนอีกร้อยละ 40 ผ่านการ
ตัดเงินจากคูปอง
การสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน ทั้งนี้ ประชาชนที่เข้ามากรอกข้อมูลเพื่อรับเงินสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบินจะต้องเป็นผู้ที่จองโรงแรมผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกันเท่านั้น โดยมีสิทธิในการได้รับเงินสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน2 สิทธิผู้โดยสารต่อ 1 ห้องโรงแรมที่จอง ทั้งนี้ เงินสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบินเท่ากับร้อยละ 40 ของราคาค่าตั๋วเครื่องบินแต่ไม่เกิน 2,000 บาทต่อผู้โดยสาร
โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ภายใต้แนวคิด “Co-Payment รัฐช่วยจ่าย” นับได้ว่าเป็นโครงการใหญ่ของภาคการท่องเที่ยวไทยในปี พ.ศ.2563 เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อร่วมกันสร้างบรรยากาศที่ดีให้การท่องเที่ยวไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง ที่ดำเนินการโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และธนาคารกรุงไทย
แต่กลับกลายเป็นว่า โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ของบรรดามิจฉาชีพ กลายเป็นว่าเราเที่ยวด้วยกัน..เราโกงด้วยกัน
หลังจากที่โครงการเปิดตัวได้เพียงไม่ถึงสองเดือน มีการตรวจสอบและพบว่ามีผู้ประกอบการบางรายซึ่งเป็นที่พักขนาดเล็กมีพฤติกรรมต้องสงสัยอาจเข้าข่ายทุจริตจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่พักเหล่านี้ มียอดการจองห้องพักเต็มตลอดเวลาและเกินกว่าจำนวนห้องพักที่มีอยู่ รวมทั้งผู้เข้าพักมีประวัติการใช้ e-Voucher สำหรับการซื้ออาหารในที่พัก โดยที่พักดังกล่าวไม่มีห้องอาหารไว้ให้บริการแก่ผู้เข้าพัก
จนทุกวันนี้กลเม็ดการโกงยังมีอยู่เรื่อยๆ รูปแบบของการโกง คือ 1.มีการเข้าเช็คอินในโรงแรม แต่กลับไม่ได้มีการเข้าพักแต่อย่างใด ซึ่งทางโรงแรมได้ประโยชน์จากการใช้สิทธิ e-Voucher วันจันทร์-พฤหัสบดี รับ 900 บาท และวันศุกร์-อาทิตย์ รับ 600 บาท 2.การที่ผู้ใช้สิทธิสามารถใช้สิทธิในจังหวัดของตนเอง ทำให้เกิดการซื้อ-ขายสิทธิการใช้สิทธิห้องพัก ผู้เข้าพักจะให้ความร่วมมือ โดยการให้ข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ เลขรหัสบัตรประจำตัวประชาชน และรหัส OTP แต่ไม่ได้มีการเข้าพักจริง3.โรงแรมเปิดขายห้องพักเกินจำนวนจริงที่มี เช่น ผู้ประกอบการโรงแรมที่มีห้องเพียง 100 ห้อง แต่เปิดการจอง 200 ห้องนำห้องที่เกินมาไปขายต่อให้อีกโรงแรม เพื่อเอาเงินส่วนต่าง4.ทางโรงแรมและผู้เข้าพักจะตกลงกัน โดยทางโรงแรมจะตั้งราคาห้องพักสูงขึ้น เพื่อรับเงินส่วนต่าง
การทุจริตดังกล่าว สร้างความเสียหายให้แก่รัฐนับพันล้านผู้กระทำผิดจำนวนมากกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ แบ่งเป็นผู้ประกอบการโรงแรมกว่า 400 แห่ง และร้านอาหาร ร้านค้ากว่า 400 แห่ง เมื่อจับผู้กระทำผิดได้แล้ว รัฐต้องลงโทษอย่างเด็ดขาด เพื่อให้เกิดความเข็ดหลาบ ไม่ว่าจะเป็นข้อหาฉ้อโกง ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน การร่วมกันนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ
นอกจากนี้การกระทําความผิดในกรณีนี้ มีลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
ถึงเวลาที่รัฐต้องเชือดไก่ให้ลิงดู มิฉะนั้นแล้วถ้ามีโครงการอะไรๆ ออกมา พวกมิจฉาชีพจะหาวิธีโกงอยู่เรื่อยๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี