นายโจ ไบเดน สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 46 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20มกราคม พ.ศ. 2564 หลังจากคว้าชัยชนะการเลือกตั้งเหนือนายโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 โดยจำนวนคณะผู้เลือกตั้งของไบเดนชนะทรัมป์ที่ 306ต่อ 232
เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของตน โดยกล่าวหาว่า มีการโกงการเลือกตั้ง ไม่เพียงแต่ทรัมป์ที่ยอมรับไม่ได้กับผลการเลือกตั้ง กลุ่มผู้ให้การสนับสนุนทรัมป์ต่างไม่พอใจเช่นกัน
ไบเดนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการไม่ถึงเดือนกลับต้องเจอกับข่าวร้าย เพราะเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ ได้จับกุมนายเดวิด ไคยล์ รีฟส์ อายุ 27 ปี ชาวเมืองแกสโตเนีย รัฐนอร์ทแคโรไลนา ฐานเจตนาข่มขู่จะสังหาร ประธานาธิบดีโจ ไบเดนและบุคคลสำคัญอื่นๆ ในคณะรัฐบาล
มีการเปิดเผยว่า รีฟส์ ได้โทรศัพท์ไปยังแผนกรับเรื่องประจำทำเนียบขาวหลายครั้ง ระหว่างวันที่ 28 มกราคม-1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 โดยพูดจาข่มขู่เอาชีวิตประธานาธิบดี ไบเดนและบุคคลสำคัญอีกหลายคนทั้งยังมีการย้ำคำพูดว่า “จะฆ่าทุกคนในทำเนียบขาวและตัดศีรษะให้ขาดจากบ่า” ทั้งยังมีการโทรไปขู่ที่สำนักงานตำรวจลับ(United State Secret Services) และตำรวจรัฐสภา (United States National Security Council)
ข้อหาข่มขู่ประธานาธิบดีสหรัฐ กฎหมายกำหนดโทษความผิดไว้ จำคุกสูงสุดไม่เกิน 5 ปี และปรับเป็นเงิน250,000 ดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 7,462,000 บาท
สหรัฐฯ ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ ที่สามารถแสดงออกทางความคิด หลายครั้งที่รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามแสดงความเห็นต่อการดำเนินคดีผู้กระทำผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของประเทศไทย ในทำนองที่ว่าเป็นการกำจัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และกล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐสนับสนุนให้มีเสรีภาพในการแสดงออกในทุกประเทศทั่วโลก เพราะเสรีภาพนี้เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์
แต่กฎหมายของสหรัฐฯ มีบทบัญญัติกฎหมายที่เอาผิดกับคนที่ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯเช่นกัน ถ้าจะว่าไป นายรีฟส์ ไม่ใช่คนแรกที่โดนข้อหานี้ ย้อนสมัยอดีตประธานาธิบดีบารัคโอบามา เมื่อกลางเดือนธันวาคม พ.ศ. 2554 ศาลในมลรัฐเคนตักกีได้ตัดสินลงโทษนายจอห์นนี่ โลแกน สเปนเซอร์ ชาวเมืองหลุยส์วิลล์ จำคุกเป็นเวลา 33 เดือน ด้วยข้อหาข่มขู่นายโอบามา โดยนายสเปนเซอร์ได้เขียนบทกวี 16 บรรทัด ซึ่งมีเนื้อหาบรรยายถึงการจะใช้ปืนสไนเปอร์ลอบยิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงบนเว็บไซต์ NewSaxon.org ของกลุ่มผู้ถือลัทธิคนขาวสูงส่งยิ่ง (White Supremacist) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มนาซีใหม่ไม่เพียงแต่โทษจำคุก 33 เดือน และนายสเปนเซอร์ยังถูกคุมประพฤติอีก 3 ปี หลังพ้นโทษจำคุก
นอกจากนี้ เดือนกันยายน พ.ศ. 2553 นายลุคแองเจลหนุ่มวัยรุ่นชาวอังกฤษ ถูกทางการสหรัฐฯสั่งห้ามเข้าประเทศตลอดชีวิต โทษฐานส่งอีเมลด่าว่าประธานาธิบดีโอบามา ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทั้งยังเรียกนายโอบามาเป็นอวัยวะเพศชาย
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี” ที่มีหลายฝ่ายได้เรียกร้องให้มีการแก้ไข
ประเทศบรูไน การหมิ่นสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนถือเป็นอาชญากรรม มีโทษจำคุกสามปี
ประเทศกัมพูชา การหมิ่นพระมหากษัตริย์ใดๆ มีโทษจำคุกสูงสุดหนึ่งถึงห้าปี และปรับ 2 ถึง 10 ล้านเรียลเดือนตุลาคม พ.ศ.2561 ศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุก 1 ปี นายบัน สัมไพ ข้อหากระทำการอันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกษัตริย์นโรดมสีหมุนี
ประเทศมาเลเซีย นายอาลี แอ็บด์ จาลิลนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้ถูกจับกุม เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 ในข้อหาดูหมิ่นราชวงศ์ยะโฮร์และสุลต่านแห่งสลังงอร์ ตามพ.ร.บ. การปลุกระดม พ.ศ.2491(Sedition Act 1948)
ประเทศโมร็อกโก เมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 นายโมอุล คาสกิตา ถูกศาลสั่งจำคุก 4 ปี และปรับ4,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 120,000 บาทฐานหมิ่นประมาทสมเด็จพระราชาธิบดีโมฮัมเหม็ดที่ 6 แห่งโมร็อกโก
เดือนมีนาคม พ.ศ.2554 นายมอนดรากอน โฆษกพรรคชาตินิยมบาสก์ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุกเป็นเวลา 1 ปี ในความผิดฐานหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงต่อพระมหากษัตริย์สเปน
สหราชอาณาจักร มีพ.ร.บ.ความผิดอาญาฐานเป็นกบฏ พ.ศ. 2391 (Treason Felony Act 1848)ครอบคลุมการกระทำความผิดตั้งแต่ การคิด, การกระทำหรือมีความตั้งใจ ที่จะโค่นล้มพระมหากษัตริย์, ก่อสงครามต่อพระมหากษัตริย์, ยุยงหรือก่อการให้ต่างชาติรุกรานสหราชอาณาจักร หรือรัฐในเครือจักรภพที่กษัตริย์ปกครอง ทั้งกระทำการโดยซ่อนเร้นหรือโจ่งแจ้ง ถือมีความผิดทางอาญา
สวีเดน “พระมหากษัตริย์พระราชินี ทรงเป็นประมุขของประเทศและเป็นที่เคารพสักการะ จะกล่าวหาฟ้องร้องมิได้” เดนมาร์ก “พระมหากษัตริย์ จะถูกละเมิดและกล่าวหาฟ้องร้องไม่ได้” ภูฏาน “พระมหากษัตริย์ จะถูกกล่าวหาฟ้องร้องไม่ได้”
ในประเทศเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ โปแลนด์ รัสเซีย ตุรกี การหมิ่นประมาทประมุขต่างประเทศเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
กฎหมายดังกล่าว มีเพื่อปกป้องพระเกียรติของกษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้นำประเทศ ทั้งมีบทลงโทษผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย การบัญญัติกฎหมายในแต่ละประเทศ จะอยู่บนพื้นฐานของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี สังคม
หลักการคุ้มครองประมุขของรัฐ ย่อมต้องมีความพิเศษมากกว่าบุคคลธรรมดา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี