ช่วงโควิดหลายคนประสบปัญหารายได้จากการทำงานประจำลดลง จึงเริ่มสร้างอาชีพที่ 2 และ 3 ทำควบคู่ไปกับงานประจำ จนเมื่อรายได้จากอาชีพเสริมเริ่มเพิ่มขึ้น บางคนจึงเริ่มคิดออกจากงานประจำ เพื่อมาลุยสร้างธุรกิจของตัวเอง
และนั่นจึงเป็นที่มาของคำถามสุดฮิตอีกหนึ่งคำถามในช่วงนี้ นั่นคือ “ลาออกจากงานประจำ มาทำธุรกิจส่วนตัวดีมั้ย”
อันที่จริงต้องออกตัวก่อนเลยว่า คำถามแบบนี้ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดแบบ 100% เพราะก็มีหลายคนที่ตอนทำอาชีพเสริมควบคู่กับงานประจำดูไปได้ดี แต่พอออกมาลุยทำธุรกิจเต็มๆ แล้วไปไม่รอด ในขณะที่บางคนทุบหม้อข้าว ออกจากงานประจำมาลุยธุรกิจเลย แล้วกิจการเติบโตก้าวหน้าดีก็มีให้เห็นอยู่เยอะ
วันนี้ผมเลยขอตอบจากมุมคิดส่วนตัวของผมเองก็แล้วกันนะครับ ว่าตอนที่ผมออกจากงานประจำมาทำธุรกิจส่วนตัว ผมคิดและจัดการอย่างไร เผื่อจะเป็นแนวทางหนึ่งให้กับคนที่กำลังคิดไม่ตกกับคำถามนี้
สำหรับคนที่กำลังทำงานประจำและคิดอยากออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ผมมีคำแนะนำเบื้องต้น ดังนี้ครับ
1. ควรเริ่มหรือลองทำธุรกิจส่วนตัว ควบคู่ไปกับงานประจำก่อน
ประเภทลาออกแล้วนับหนึ่งเลย ผมไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ ไม่ใช่แค่เรื่องความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่อง ที่ระหว่างสร้างกิจการ เงินสะสมที่มีจะค่อยๆ ร่อยหรอ และกว่ากิจการจะทำกำไร อาจจะบั่นทอนความคิดความรู้สึกของเราเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
นอกจากความเสี่ยงทางการเงิน อีกเรื่อง คือ ความเสี่ยงด้านเวลาและการจัดการตัวเอง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่วงออกจากงานประจำช่วงแรกถ้าหากวางแผนการทำงานไม่ดี มีโอกาส “เคว้ง” หรือ “เท้งเต้ง” อยู่ช่วงเวลานึงเลยครับ ไม่รู้จะหยิบจับทำอะไรก่อนดี
ดังนั้น การเริ่มสร้างกิจการตั้งแต่ตอนทำงานประจำจึงเป็นเรื่องที่ดีกว่า ใช้เวลาช่วงเลิกงานและวันหยุด ค่อยๆ สร้าง ค่อยๆ ทำ แม้ว่าจะเหนื่อยสักหน่อย เวลาสำหรับธุรกิจมีน้อยไปหน่อย แต่ผมว่าคุณจะได้ฝึกเรื่องของการบริหารธุรกิจและการบริหารเวลาไปพร้อมๆ กัน อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อนี้แนะนำไว้เป็นอันดับ 1 เลยครับ
2. เริ่มทำธุรกิจใน Scale ที่พร้อมล้มเหลวได้
ช่วงเริ่มต้นทำอย่าบู๊มาก มีหลายคนพอคิดจะทำอะไรต้องใหญ่ไว้ก่อน (กลัวโลกไม่จำ) หลายครั้งสิ่งที่เป็นไอเดียที่เคยคิดว่าดี พอลุยจริงแล้วแป้กตั้งแต่เริ่มเยอะแยะเลยครับ ลองไปถามคนทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จดูก็ได้ ว่าสินค้าที่ขายดีวันนี้ ใช่สินค้าที่ตั้งใจจะขายตั้งแต่วันแรกหรือเปล่า รับรองว่ามีคำตอบเซอร์ไพรส์แน่ๆ
การทำในสเกลที่ล้มเหลวได้ จัดเป็นวิธีการจำกัดความเสี่ยงแบบหนึ่งค่อยๆ ลองทำ เรียนรู้และพัฒนาการสร้างธุรกิจไปทีละน้อย เช่น อยากทำร้านอาหาร อาจเริ่มจากการลองทำอาหารกล่องขายแบบพรีออเดอร์กับคนใกล้ตัวก่อน หรือถ้าจะรับสินค้ามาขายหรือทำตลาด ก็อาจซื้อลอตเล็กๆ มาขายดูก่อนก็ได้
การจำกัดความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราล้มแล้วไม่เจ็บตัวเกินไป ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ได้เร็ว แถมยังเป็นการทดลองตลาดว่าเรามีความเข้าใจตลาดของสินค้าและบริการที่เราจะทำดีหรือไม่ หรืออย่างน้อยก็จะได้เรียนรู้และพัฒนา ในระดับความเสียหายที่ไม่แพงเกินไป
3. ให้ “กำไร” จากอาชีพเสริม มากกว่างานประจำ ต่อเนื่องสัก 1 ปีถึงเริ่มคิดลาออก
มีหลายคนที่พอเริ่มทำอาชีพเสริมแล้วปุบปับโชคดี ได้เงินก้อนใหญ่ ได้รายได้งาม จนคิดว่าเราจะได้แบบนั้นไปตลอด แล้วพอออกมาทำเต็มตัวจริงๆ กลับไม่เป็นอย่างนั้น
ที่สำคัญหลายคนไม่เข้าใจว่ารายได้จากอาชีพเสริม ไม่ใช่รายได้ที่เราจะนำมาจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันได้ทันทีเหมือนกับเงินเดือน เพราะบางงาน
บางกิจการมีต้นทุนที่ต้องจ่าย (และอาจไม่ใช่น้อยๆ ด้วย) ที่ถูกต้องจึงควรพิจารณาที่ “กำไร” ของงานหรือธุรกิจเสริมที่เราทำเป็นหลัก ไม่ใช่รายได้
ดังนั้นการจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของงานเสริมหรือของกิจการ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้เราสามารถตรวจสอบเงินสดไหลเข้าออกได้(ที่จริงรายได้จากเงินเดือนก็ควรทำบัญชีด้วยนะ) รู้ต้นทุนและกำไรที่แท้จริงของกิจการที่เราทำ และหากคิดจะออกจากงาน ก็ควรสร้างและพัฒนากำไรของเราให้โตต่อเนื่อง และมากกว่างานประจำสัก 1 ปี ถึงค่อยคิดเรื่องลาออก
นอกจากนี้ เราอาจต้องพิจารณาแนวโน้มหรือเทรนด์ของกิจการหรืองานเสริมของเราด้วย เพราะกำไรเป็นผลประกอบการในอดีต แต่ถ้าจะออกจากงานไปทำเต็มตัว เราต้องดูแนวโน้มของงานเสริมเราในอนาคต ว่าจะไปได้สวย ไปได้ดี ต่อไปอีกนานแค่ไหน
4. เตรียมเงินสำรองทั้ง “ตัวเอง” และ “กิจการ”
เมื่อทำงานเสริมควบคู่ไปกับงานประจำ แล้วมี “กำไร” ก็ต้องสะสมกำไรเอาไว้ อย่าเอาไปกินใช้จนหมด เก็บสะสมกำไรไว้หมุนเวียนหรือขยายกิจการในวันที่ออกไปทำเต็มตัวจริงๆ ด้วยก็ดี เงินสำรองกิจการควรมีอย่างน้อย1 ปี ทั้งนี้ควรแยกออกจากเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินส่วนตัว 6 เดือนด้วย
กินใช้ส่วนตัว สะสมเงินสำรองจากเงินเดือน เงินสำรองหมุนเวียนกิจการสะสมจากกำไรในขณะทดลองกิจการควบคู่กับงานประจำ ถ้ามีเงินสำรองได้แบบนี้ ก็จะช่วยลดความกังวลในช่วงเริ่มต้นออกมาลุยเต็มด้วยได้ครับ
5. ระวังการบริหาร “เวลา” ให้ดี
ข้อดีข้อหนึ่งของการเป็นเจ้าของกิจการ ก็คือ อิสระด้านเวลา ที่เราสามารถจัดสรรเวลาได้เอง ไม่ต้องเข้างาน 9 โมง เลิก 5 โมง จนถึงขั้นคิดไปว่า จะทำงานเมื่อไหร่ก็ได้ เอาเข้าจริงไม่ใช่เลยครับ ถ้าออกจากงานมาแล้วใช้ชีวิตไร้ระเบียบ ใช้เวลาไม่เป็นประโยชน์ บอกเลยว่า “พัง” แน่นอน
หลายคนพอออกจากงานประจำมา ก็กลายเป็นคนไร้ระเบียบไปเลย นอนดึก ตื่นสาย กว่าจะตื่นก็ใกล้เที่ยง กว่าจะตั้งหลักลงมือทำอะไร ก็หมดไปอีกวัน ต้องระวังให้ดี จากแต่เดิมทำงานประจำไม่ต้องคิดมาก ตื่นเช้าไปทำงานทันเวลา ระหว่างวันมีอะไรให้ทำ ก็ทำไปตามนั้น พอทำธุรกิจส่วนตัว จะทำแบบนั้นไม่ได้ครับ เราต้องวางแผน ลงตารางเวลาทำงานของเราเอง และต้องมีวินัยมากกว่า ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ผมพบในตอนธุรกิจส่วนตัวก็คือ การควบคุมตัวเองยากกว่าให้คนอื่นควบคุมเราเสียอีก
ทั้งหมดคือ คำแนะนำเบื้องต้นจากประสบการณ์ที่ผมเจอมากับตัวเอง อันที่จริงการเป็นผู้ประกอบการยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องใส่ใจและพัฒนาอีกเยอะ แต่ผมว่าเราสามารถเรียนรู้ไปขณะสร้างกิจการได้ แต่ทั้ง 5 ข้อที่ผมหยิบมาคุยวันนี้ ผมว่าเป็น A Must ที่ต้องคำนึงถึงและพิจารณาให้ดีก่อนออกจากงานประจำ
ชีวิตเถ้าแก่สนุกนะครับ แต่ถ้าเตรียมพร้อมไม่ดี ก็เหนื่อยและเครียดไม่น้อยเลย
ยังไงวางแผนดีๆ ครับ
#TheMoneyCoachTH
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี