การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาระหว่างวันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 ใช้เวลาถึง 4 วัน 3 คืน เป็นการลงมติไม่ไว้วางใจ 10 รัฐมนตรี
ผลการลงมติในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้ง 10 รัฐมนตรี มีดังนี้ (1) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 206งดออกเสียง 3 (2) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 274 ไม่ไว้วางใจ 204 งดออกเสียง 4(3) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ไว้วางใจ 275 ไม่ไว้วางใจ 201งดออกเสียง 6 (4) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ไว้วางใจ 268 ไม่ไว้วางใจ207 งดออกเสียง 7 (5) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 205 งดออกเสียง 3(6) นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ไว้วางใจ 258ไม่ไว้วางใจ 215 งดออกเสียง 8 (7) นายสุชาติ ชมกลิ่นรมว.แรงงาน ไว้วางใจ 263 ไม่ไว้วางใจ 212 งดออกเสียง 5ไม่ลงคะแนน 1 (8) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ไว้วางใจ 268 ไม่ไว้วางใจ 201 งดออกเสียง 12ไม่ลงคะแนน 1 (9) นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 206 งดออกเสียง 4(10) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ไว้วางใจ 274 ไม่ไว้วางใจ 199 งดออกเสียง 5ไม่ลงคะแนน 1
ในการผ่านญัตติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ต้องอาศัยเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา หรือ 244 เสียง จาก สส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 487 คน
ผลคะแนนดังกล่าว นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับคะแนนไว้วางใจสูงสุด ขณะที่นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณได้รับคะแนนไว้วางใจน้อยที่สุดในหมู่ผู้ถูกซักฟอก
ที่น่าจับตามอง คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเคยได้ความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมรัฐบาลต่ำสุดในศึกซักฟอกเมื่อปีพ.ศ.2563 มาปีนี้ได้รับคะแนนสูงเป็นอันดับสอง
การโหวตครั้งนี้ อาจทำให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี นั่งไม่ติดเก้าอี้ เพราะมี 6 สส.ดาวฤกษ์ในพรรคพลังประชารัฐได้โหวตสวนมติ โดยการ “งดออกเสียง”นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
6 สส.ดาวฤกษ์ ได้แก่ (1) น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี(2) นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา (3) น.ส.ฐิติภัสร์โชติเดชาชัยนันต์ (4) น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์(5) น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ และ (6) นายศิริพงษ์ รัสมี
“มาดามเดียร์” หรือ น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสีสส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ แกนนำกลุ่มดาวฤกษ์ชี้แจงว่าที่งดออกเสียงในการลงคะแนน ญัตติไม่ไว้วางใจ เพราะการชี้แจงปมรถไฟสายสีส้มไม่ชัดเจนเพียงพอในการตอบคำอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน และทำให้สังคมตั้ง ข้อสงสัยในสองประเด็นหลักที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน คือ เรื่องการเปลี่ยนเงื่อนไข (Term of Reference: TOR) และการล้มการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และข้ออภิปรายเรื่องการไม่ปกป้องหรือเรียกคืนที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยในพื้นที่เขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์
น.ส.วทันยา ระบุอีกว่า สส.ในกลุ่มดาวฤกษ์ ได้พยายามอย่างที่สุดในการปฏิบัติตามมติพรรค ด้วยการไม่ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องปฏิบัติตามจิตวิญญาณความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยการงดอออกเสียง
ทางด้านนายศิริพงษ์ รัสมี สส.เขต 17 หนองจอก กทม.พรรคพลังประชารัฐ ให้เหตุผลว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ประมูลทำไม สายอื่นไม่สามารถวิ่งได้ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน และพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของนายศิริพงษ์ จึงต้องทำหน้าที่เพราะกินเงินเดือนประชาชนเพราะการลงมติเป็นการใช้เอกสิทธิ์สส. ปกป้องผลประโยชน์ประชาชน
บทลงโทษของพรรคการเมืองต่อสส.ที่ลงมติสวนมติพรรค เช่น ถูกตัดสิทธิ์จากตำแหน่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของวิป กรรมาธิการ (กมธ.) งบประมาณ ประธานกมธ.คณะต่างๆ งดการแสดงบทบาทภายในพรรค และงดการสนับสนุนพื้นที่เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งเป็นบทลงโทษที่หนัก
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นของประชาชนว่า เกินกว่าร้อยละ 52.67ระบุไม่ควรลงโทษสส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลที่โหวตสวนมติพรรค เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นส่วนบุคคล ที่ต้องเห็นแตกต่างกันได้
สำหรับรูปแบบการลงโทษ มีการเสนอว่า ไม่ส่งลงสมัคร สส. ในนามพรรค ในการเลือกตั้งครั้งหน้า รองลงมา ร้อยละ 26.00 ระบุว่า ห้ามไม่ให้ทำกิจกรรมทางการเมืองร่วมกับพรรคหรือรัฐบาลอีกต่อไป ร้อยละ 17.33ระบุว่า ปลดออกจากทุกตำแหน่งในพรรคและรัฐบาล ร้อยละ 16.33ระบุว่า ไล่ออกจากพรรค ร้อยละ 4.67 ระบุว่า บีบให้ลาออกจากพรรค และร้อยละ 1.33 ระบุอื่นๆ ได้แก่ ว่ากล่าวตักเตือน
นับจากตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 เป็นต้นมา หากพรรคการเมืองมีมติให้สส. ออกจากพรรค สส. คนนั้นจะสิ้นสภาพความเป็น สส.โดยทันที แต่สำหรับรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2540 และรัฐธรรมนูญฯพ.ศ.2550 สส. ที่ถูกให้ออกจากพรรคสามารถอุทธรณ์ต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
สำหรับรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2560 ได้ลดบทบาทของพรรคการเมืองในการควบคุม สส. กำหนดเอกสิทธิ์คุ้มครองให้สส.สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีภาพ โดยเปิดช่องให้ สส. มีอิสระในการโหวตไม่ทำตามมติพรรค นอกจากนี้การย้ายพรรคของ สส. สามารถทำได้ไม่ยากนัก
รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 114 วางหลักว่า“สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ... ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม...”
เมื่อประชาชนเลือก สส. เพื่อทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติในสภาแทน กรณีไม่ได้เป็นรัฐมนตรีหรือฝ่ายบริหาร สส.ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารแทนประชาชน ในกรณีที่ฝ่ายนิติบัญญัติเห็นว่านายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ไม่โปร่งใส ส่อไปในทางทุจริต บริหารราชการแผ่นดินบกพร่อง จะต้องถูกตรวจสอบจากสส.ในสภา
จึงไม่เป็นเรื่องแปลก หากสส.งดออกเสียงสวนมติพรรค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี