nn จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ทำให้สภาพแวดล้อมทั้งในการดำเนินชีวิต รวมถึงการทำงาน การประกอบธุรกิจต่างๆ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ซึ่งในการปรับตัวของผู้ประกอบการ SMEs ไทย แม้ในปี 2563 ที่ผ่านมาจะเจอพิษโควิด-19แต่การเชื่อมโยงอุตสาหกรรมก็ยังคง Move On หรือไปต่อได้ โดย “กองพัฒนาผู้ประกอบการไทย” สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ รายงานมูลค่าอุตสาหกรรมชิ้นส่วน ที่เกิดขึ้นจากการจัดกิจกรรมเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยรายเล็กกับบริษัททั้งรายใหญ่และรายเล็กตลอดปีที่ผ่านมาว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 27,440 ล้านบาท แบ่งเป็นการเชื่อมโยงกับผู้ซื้อรายใหญ่ 16,056 ล้านบาท และกับผู้ซื้อ SMEs 11,384 ล้านบาท
ถึงแม้ว่ามูลค่าที่เกิดขึ้นจะไม่มากเท่ากับสถานการณ์ปกติ แต่ต้องถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ชี้ให้เห็นว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยสามารถปรับตัวขยายการลงทุนเชื่อมโยงกับผู้ซื้อที่ส่วนใหญ่ถูกปูฐานอย่างแข็งแกร่งอยู่ก่อนแล้ว โดยเห็นได้จากอุตสาหกรรมที่เกิดการเชื่อมโยงส่วนใหญ่ยังอยู่ในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นหลักต้องถือว่า บีโอไอมีบทบาทสำคัญต่อการสนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็กที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศได้มีโอกาสเชื่อมโยงกับผู้ซื้อซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่จากทั่วโลกมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2535 ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การจัดให้ผู้ซื้อพบผู้ขาย การมีตลาดกลางซื้อขายชิ้นส่วน การจับคู่ธุรกิจการจัดสัมมนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs ไทย รวมถึงการนำผู้ประกอบการออกบูธงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศโดยเฉพาะการจัดงาน SUBCON Thailand ซึ่งเป็นงานนิทรรศการอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตที่สำคัญระดับภูมิภาคโดยจัดเป็นประจำทุกปี
กิจกรรมเหล่านี้ได้สร้างโอกาสทางการตลาดให้ SMEs ผลิตชิ้นส่วนป้อนผู้ประกอบการรายใหญ่ปีละหลายหมื่นล้านบาท ผลลัพธ์ของการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมทำให้เกิด Win-Win Situationทั้งด้านผู้ขาย กล่าวคือ เกิดการยกระดับการผลิตชิ้นส่วนของ SMEs ไทย เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และสร้างให้ประเทศเป็นฐานซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง ส่วนในด้านผู้ซื้อรายใหญ่ ก็ได้ประโยชน์ในด้านช่วยลดต้นทุนโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนทุกสายการผลิต เพราะสามารถหาซัพพลายเออร์ผลิตชิ้นงานได้ในประเทศ เกิดข้อได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจเพราะใช้เงินลงทุนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศที่มีซัพพลายเชนไม่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ดี จากนี้ไปในการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมของบีโอไอจะขยายไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศไทยไปสู่ 4.0 เช่น อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ยานยนต์ไฟฟ้า อากาศยาน ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ดิจิทัล สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ระบบราง เป็นต้น ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบไทยมีศักยภาพที่จะทำได้อยู่แล้ว เพื่อต่อยอดความแข็งแกร่งของซัพพลายเชนไทยในสาขาใหม่ๆ
เหล่านี้ หวังเดินตามรอยความสำเร็จของการเชื่อมโยงในกลุ่มยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ เช่นที่ผ่านมา ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การมีผู้รับช่วงการผลิตในประเทศที่มีศักยภาพ มีส่วนช่วยสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการลงทุน นอกเหนือจากปัจจัยดึงดูดในด้านสิทธิและประโยชน์ด้านต่างๆ
ส่วนภาพรวมของการลงทุนใน 2564 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยปัจจัยภายนอกที่เอื้อต่อการลงทุนในไทยที่สำคัญคือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการค้าโลก รวมถึงความตกลง RCEP ที่จะมีผลบังคับใช้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564จะช่วยขยายตลาดของประเทศสมาชิกรวมทั้งไทยให้กว้างขึ้นด้วย นอกจากนี้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทำให้เกิดการกระจายฐานลงทุนของบริษัทข้ามชาติเพื่อบริหาร SupplyChain เพื่อลดความเสี่ยง โดยตั้งแต่ปี 2561-2563มีโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมเพื่อย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า กว่า 200 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 1 แสนล้านบาท
ส่วนปัจจัยภายในประเทศ จากมาตรการกระตุ้นการลงทุนชุดใหม่ของบีโอไอ ที่จะให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมกับโครงการที่ลงทุนจริงได้เกิน 1,000 ล้านบาท ภายใน 1 ปี หลังออกบัตรส่งเสริม และการเร่งผลักดันโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญให้เป็นไปตามแผน โดยเฉพาะใน EEC ทั้งรถไฟความเร็วสูง การขยายท่าเรือและสนามบิน การพัฒนาเมืองการบิน เมืองอัจฉริยะ รวมทั้งโครงข่าย 5G จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุน และจะเป็นแรงหนุนให้การลงทุนฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี