ย้อนไปเมื่อกลางปี พ.ศ. 2562 อาม่าเจ้าของกิจการบริษัทเพลงที่ ผลิตผลงานศิลปินลูกทุ่งในอดีต ได้เข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมต่อกองปราบฯ กรณีที่ถูกพนักงานสาวธนาคารแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียง โกงเงินไปจำนวน 13,550,000 บาท แต่ทางธนาคารจ่ายคืนเพียง10 ล้าน ส่วนที่เหลืออีก 3 ล้านกว่า ให้ผู้เสียหายไปฟ้องร้องเอาเอง
เรื่องที่เกิดขึ้น อาม่าได้นำเงินไปฝากธนาคารแห่งหนึ่งร่วม 40 ปี กลายเป็นลูกค้าพิเศษหรือวีไอพี มีความคุ้นเคยกับพนักงานหญิงที่มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการระดับสาขาของธนาคาร ต่อมาช่วงปีพ.ศ. 2560 ผู้ช่วยผู้จัดการคนนี้ได้ย้ายไปอยู่อีกสาขา และได้ชักชวนให้อาม่าย้ายบัญชีมาที่สาขานี้ โดยแจ้งว่า ให้เปิดหลายๆบัญชี เพื่อจะได้ดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 5.5 อาม่าจึงหลงเชื่อและได้เปิดบัญชี 11 บัญชี ยอดเงิน 13,550,000 บาทจนเมื่อต้นปี พ.ศ.2561 ผู้จัดการธนาคารสาขานี้โทรแจ้งว่าเจอสมุดบัญชีธนาคารอาม่าตกอยู่ที่ธนาคาร อาม่าจึงเอะใจเพราะสมุดธนาคารทั้ง 11 เล่ม อยู่ที่ตน จึงไปตรวจสอบยอดเงินในบัญชีที่ธนาคาร พบว่าไม่มีข้อมูลการฝากเงินแต่อย่างใด
สมุดบัญชีที่อยู่กับอาม่า เป็นบัญชีปลอมที่ทำขึ้นมาทำให้เงินฝากทั้งหมด ไม่เข้าธนาคาร แม้แต่บาทเดียว
ธนาคารได้ขอไกล่เกลี่ย และยอมคืนเงินให้ 10 ล้านบาท ที่เหลือ 3 ล้านกว่า ธนาคารไม่คืนให้อ้างว่า ตรวจสอบแล้วยอดไม่ตรงกัน ถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอง อาม่าจึงได้แต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีธนาคาร
จนวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ศาลได้ตัดสินให้ธนาคาร คืนเงินให้อาม่า 3,651,495.42 บาท
ธนาคารควรคืนเงินให้อาม่าตั้งแต่แรก การปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อ ยิ่งกลายเป็นข่าว มีแต่ทำให้ธนาคารเสียชื่อเสียงและขาดความไว้วางใจจากผู้ฝากเงิน
สำหรับเรื่องการฝากเงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “มาตรา 672 ถ้าฝากเงิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกันกับที่ฝาก แต่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวน
อนึ่ง ผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้ แต่หากจำต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น แม้ว่าเงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้รับฝากก็จำต้องคืนเงินเป็นจำนวนดั่งว่านั้น”
มาตรา 672 มีหลักการที่สำคัญ คือ เมื่อฝากเงินกับธนาคาร ธนาคารสามารถเอาเงินของผู้ฝากไปใช้ได้ แต่เมื่อผู้ฝากถอนเมื่อไร ธนาคารจะต้องคืนเงินให้แก่ผู้ฝากตามจำนวนที่ฝาก กรรมสิทธิ์ในเงินฝากที่ธนาคารรับฝากไว้ถือเป็นของธนาคาร
คำพิพากษาฎีกาที่ 1104/2545 จำเลยเป็นพนักงานของธนาคารผู้เสียหาย ตำแหน่งพนักงานธนาคารมีหน้าที่รับฝากและถอนเงินให้ลูกค้า แต่เงินที่ลูกค้านำฝากเข้าบัญชีของลูกค้าไว้กับผู้เสียหายเป็นของผู้เสียหาย และอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหาย มิได้อยู่ในความครอบครองของจำเลย การที่จำเลยใช้ใบถอนเงินหรือแก้ไขบัญชีเงินฝากของลูกค้าผู้ฝากต่างกรรมต่างวาระในรูปแบบทางเอกสารเป็นกลวิธีในการถอนเงินของผู้เสียหาย จนเป็นผลสำเร็จแล้วทุจริตนำเงินนั้นไป จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
ทั้งการฝากเงินกับธนาคาร ถือได้ว่า ธนาคารเป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะ จึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสมควร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 520/2554 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลย (ธนาคาร) รับผิดตามสัญญาฝากทรัพย์ โดยจำเลยเป็นนิติบุคคลประกอบธุรกิจการธนาคารพาณิชย์มีวัตถุประสงค์ว่ารับฝากเงิน จำเลยจึงเป็นผู้รับฝากผู้มีวิชาชีพเฉพาะ ที่ต้องใช้ความระมัดระวังตามสมควรในฐานะผู้มีวิชาชีพเฉพาะ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า พนักงานของจำเลยทุจริตลักลอบเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกค้าต่างๆ จำนวน 34 บัญชี รวมทั้งรายบัญชีของโจทก์ แสดงว่าจำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลบัญชีเงินฝากของโจทก์ ถือว่าเป็นการปฏิบัติผิดสัญญา
กรณีของอาม่า การที่ธนาคารให้เหตุผลดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เมื่อลูกค้านำเงินไปฝาก ธนาคารเป็นผู้เก็บข้อมูล คีย์ข้อมูลของลูกค้า ย่อมทราบดีว่า การถอนเงิน โอนเงิน เกิดขึ้นเวลาใด ที่ไหน ถ้าโอนเงินปลายทางคือ ที่ไหน จำนวนเงินเท่าใด
ได้เคยมีการสอบถามพนักงานที่ทำงานธนาคารเกี่ยวกับกลโกงของพนักงานธนาคารด้วยกัน ที่มีมุมมองต่างกัน นับได้ว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ที่ผู้มีบัญชีเงินฝากเงินทั้งหลายควรฉุกคิด “คนที่มีโอกาสสูงที่จะโกงเงินธนาคาร น่าจะเป็นพนักงานที่ทำหน้าที่คีย์ข้อมูลเข้าระบบ เช่น พวกรับฝากเงิน มีอำนาจในการคีย์เงินเข้าไปในระบบ สมมุติลูกค้าฝากหนึ่งร้อย อาจคีย์แค่ห้าสิบ อีกห้าสิบเก็บไว้ไปหมุนก่อน ที่เคยได้ยินก็อย่างพนักงานปลอมลายเซ็นลูกค้า แต่เขาจะดูก่อนว่าเป็นลูกค้าประเภทเงินฝากเยอะและยอดเงินไม่ค่อยเคลื่อนไหว เพราะพนักงานส่วนนี้สามารถเข้าไปตรวจสอบบัญชีของลูกค้าได้ แต่ถ้าลูกค้าที่เงินหมุนตลอดจะยาก เพราะลูกค้าจะเห็นความเคลื่อนไหวของเงินตลอด”
“ในส่วนของพนักงานนับเงิน หรือ เทลเลอร์ ที่ทำหน้าที่รับฝาก ถอนเงิน ชำระค่าบริการต่างๆ ที่เคาน์เตอร์ บางครั้งพนักงานจะรู้ความเคลื่อนไหวทางบัญชีของลูกค้า เช่น ทราบว่าลูกค้าคนนี้ไม่มาติดต่อธนาคาร นานๆ ถึงจะมาปรับบัญชีที จะมีการถ่ายโอนเงินจากบัญชีของลูกค้ารายนั้นไป โดยที่เจ้าของบัญชีไม่ทราบกว่าจะรู้ก็สูญเงินไปจำนวนไม่น้อย”
“พนักงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบรับเงินลูกค้าจากข้างนอก ต้องมีการแต่งตั้งเป็นลายลักษณ์อักษร แต่บางธนาคารมีลูกค้าเก่าแก่ที่ติดต่อเชื่อถือกันมานาน ก็จะไว้ใจให้พนักงานธนาคารนำเงินฝากเข้าบัญชีให้ทุกเดือนแต่กลับปรากฏว่าพนักงานไม่ได้นำเงินเข้าบัญชีให้ทุกเดือนแต่แอบยักยอกเงินลูกค้ามาโดยตลอด”
การทุจริตหรือแอบยักยอกเงินของพนักงานที่ปรากฏนั้น ขึ้นอยู่กับระบบควบคุมภายในธนาคารแต่ละแห่ง ว่าจะมีมาตรการเข้มงวดและระบบการตรวจสอบที่ละเอียดรอบคอบหรือไม่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าระบบที่จะรัดกุมแค่ไหน แต่หากผู้เกี่ยวข้องขาดจรรยาบรรณต่ออาชีพ ขาดความซื่อสัตย์สุจริต การทุจริตยังคงมีอยู่ ระบบไม่สามารถช่วยได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี