นับจากปีพ.ศ. 2563 ทั่วโลกต่างต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 วัคซีนเปรียบเสมือนอาวุธที่มนุษย์ใช้หยุดยั้งการระบาดของโรคติดเชื้อ
วัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งหมดในปัจจุบัน มีอยู่ 4 ชนิดหลักๆ โดยแบ่งจากเทคนิคที่ใช้ในการผลิตวัคซีนโควิด-19 ได้แก่
1. วัคซีนโควิด-19 ชนิดสารพันธุกรรม (mRNA Vaccines) เป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่เคยใช้กับการพัฒนาวัคซีนป้องกันอีโบลา สำหรับกรณีโควิด-19 วัคซีนผลิตขึ้นจากการใช้สารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2) ซึ่งเมื่อฉีดเข้าไปในร่างกาย mRNA จะเข้าไปกำกับการสร้างโปรตีนส่วนหนาม (spike protein) ของไวรัสชนิดนี้ แล้วทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตัวนี้ออกมา วัคซีนที่ใช้วิธีนี้ คือ BioNTech/Pfizer และ Moderna
2. วัคซีนโควิด-19 ชนิดใช้ไวรัสเป็นพาหะ (Viral Vector Vaccines) โดยใช้ไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ หรือไม่สามารถแบ่งตัวได้อีก แล้วตัดแต่งพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นพาหะ โดยฝากสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2) เข้าไป ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสขึ้นมา วัคซีนประเภทนี้สามารถกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี เนื่องจากเลียนแบบให้ใกล้เคียงกับการติดเชื้อตามธรรมชาติ วัคซีนที่ใช้วิธีนี้ คือ Johnson & Johnson, Oxford – AstraZeneca, Sputnik V
3. วัคซีนโควิด-19 ที่ทำจากโปรตีนส่วนหนึ่งของเชื้อ (Protein-based Vaccines) จะใช้โปรตีนบางส่วนของเชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2) เช่น โปรตีนส่วนหนาม (Spike Protein) แล้วนำมาผสมกับสารกระตุ้นภูมิ เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสขึ้นมา เทคนิคนี้ใช้กันมานานแล้ว เพราะเป็นเทคนิคที่ใช้ผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนตับอักเสบชนิดบี วัคซีนที่ใช้วิธีนี้ คือ Novavax
4.วัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อตาย (Inactivated Vaccines) จะผลิตจากไวรัสซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2)ที่ถูกทำให้ตายแล้วด้วยสารเคมีหรือความร้อน เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกาย จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสเป็นเทคนิคที่เคยใช้กับการผลิตวัคซีนตับอักเสบเอ หรือวัคซีนโปลิโอ (ชนิดฉีด) มาแล้ว แต่เพราะต้องทำในห้องปฏิบัติการนิรภัยระดับ 3 ทำให้ผลิตได้ช้า และมีต้นทุนการผลิตที่สูง สำหรับที่ใช้วิธีนี้ คือ Sinovac, Sinopharm
จากข้อมูลเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ได้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก รวมกันมากกว่า 2,000 ล้านโดส ใน 197 ประเทศ/เขตปกครอง ภายในเวลาหกเดือน จีนมีจำนวนการฉีดวัคซีนมากที่สุดกว่า 704 ล้านโดส คิดเป็น 1 ใน 3 ของจำนวนการฉีดรวมกันทั่วโลกรองลงมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และอินเดีย จำนวน 200-300 ล้านโดส ส่วนไทยอยู่อันดับที่ 44 ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วรวม 3.96 ล้านโดส โดยมีคนไทยร้อยละ 4.12 ได้วัคซีนแล้วอย่างน้อยหนึ่งเข็ม และมีผู้ที่ฉีดครบสองเข็มแล้วร้อยละ 1.86 ของประชากร
เมื่อพิจารณาถึงสัดส่วนการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากร พบว่ามี 5 ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของประเทศ ได้แก่ มัลดีฟส์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน อิสราเอล และชิลี ขณะที่ประเทศไทย คนจำนวนไม่น้อยยังสับสนกับระบบการลงทะเบียนฉีดวัคซีน สับสนว่าจะได้ฉีดตัวไหน บางคนกลัวว่าตนเองจะแพ้ ทำให้เกิดการลังเล แน่นอนว่า ทุกคนต่างอยากได้วัคซีนโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในการป้องกันโรค
วัคซีนที่แต่ละประเทศใช้ พบว่ามีการใช้วัคซีนของ AstraZeneca/Oxford ในกว่า 171 ประเทศ รองลงมา ได้แก่ วัคซีนของ Pfizer/BioNTech ใช้ใน 104 ประเทศ และวัคซีน Sinopharm ใช้ใน 54 ประเทศ
นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2552 โดยทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถือหุ้นร้อยละ 100 ด้วยทุนจดทะเบียน 5,000 ล้านบาทบริษัทไทยที่ได้รับเลือกจากแอสตราเซเนกา ให้เป็นผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 แห่งแรกและแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
วัคซีนได้รับการอนุมัติให้เริ่มจัดส่งเมื่อต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยจากหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศ รวมถึงผ่านเกณฑ์การตรวจสอบคุณภาพจากห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ของแอสตราเซเนกาในต่างประเทศ นับเป็นการยืนยันคุณภาพของวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตในประเทศไทยว่ามีมาตรฐานในระดับสากล ทั้งนี้ วัคซีนโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาในแต่ละรุ่น การผลิตต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพต่างๆ รวมกันมากกว่า 60 รายการนับตั้งแต่เริ่มกระบวนการผลิตไปจนถึงการฉีดวัคซีน และมีการประกันคุณภาพอย่างครบถ้วนทุกขั้นตอน เพื่อให้ผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนมั่นใจได้ว่า จะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ผลการทดลองทางคลินิกยืนยันว่า ผู้รับวัคซีนโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาสามารถทนต่อผลข้างเคียงของวัคซีนได้ดีและวัคซีนยังช่วยป้องกันอาการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 ในทุกระดับความรุนแรง
นอกจากนี้ หน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพในสหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป รวมไปถึงองค์การอนามัยโลกให้ข้อสรุปว่าประโยชน์ที่ได้รับจากวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 นั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์
ที่ผ่านมาโรงงานผลิตรถยนต์ต่างประเทศที่มาตั้งโรงงานในประเทศไทย จะเป็นเพียงการประกอบรถยนต์ ทั้งซัพพลายเออร์ หรือบริษัทผู้รับจ้างทำงาน จะทำหน้าที่เพียงการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กระจก ยาง หรือส่วนควบที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ชิ้นส่วนรถยนต์ได้เกือบทุกอย่าง ยกเว้นเครื่องยนต์และกล่อง ECU (Electronic Control Unit) ที่เป็นกล่องอุปกรณ์ที่ประมวลผลเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่รับข้อมูลต่างๆของตัวรถมาประมวลผลเพื่อการควบคุมการสั่งจ่ายน้ำมันและการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ให้ทำงานได้ตามมาตรฐานของเครื่องยนต์ ที่บริษัทแม่ยังไม่ยอมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้
การได้รับเลือกจากแอสตราเซเนกา คงไม่ใช่แค่วัคซีน สิ่งมีค่าที่ได้ไม่แพ้วัคซีน คือ ความรู้ เทคโนโลยี เทคนิค ความรู้เฉพาะอย่างต่างๆ ที่ทำให้คนไทยนำไปพัฒนาต่อยอดวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนครบวงจร โดยพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด และในอนาคตประเทศไทยอาจเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของภูมิภาค
วันนี้ สยามไบโอไซเอนซ์ คือ ความภาคภูมิใจของคนไทยที่ผลิตวัคซีนโควิด แอสตราเซเนกา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี