nn ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้ประเทศจีนคือคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของไทย...ทั้งในแง่การส่งออก ซึ่งตลาดจีนก็คือส่งออกอันดับหนึ่งของสินค้าไทย ในแง่การลงทุน กลุ่มทุนจีนคือกลุ่มทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากเป็นอันดับหนึ่ง แซงหน้ากลุ่มทุนญี่ปุ่นที่รั้งตำแหน่งนี้มายาวนาน ดังนั้นการทำการสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุน และคู่ค้าจากจีน ที่มีต่อประเทศไทยนั้นถือว่าสำคัญ และรัฐบาลควรนำข้อมูลเหล่านี้มาเป็นข้อมูลในการวางยุทธศาสตร์ของเศรษฐกิจไทย
ล่าสุด หอการค้าไทย-จีน และ คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นไตรมาส 3/2564 ด้วยการสำรวจความเห็นในรูปแบบออนไลน์ไปยังคณะกรรมการหอการค้าไทย-จีน เครือข่ายสมาพันธ์หอการค้าไทย-จีน และสมาคมธุรกิจต่างๆ กว่า 60 สมาคม ตลอดจนกลุ่มธุรกิจรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่และชาวจีนโพ้นทะเล โดยแบบสอบถามประกอบด้วย 4 ส่วน คือ1) ประเด็นเฉพาะกิจ หรือเหตุการณ์ 2) ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจไทย-จีน 3) ตัวชี้วัดภาวะเศรษฐกิจไทยและ 4) ตัวชี้วัดปัจจัยเกื้อหนุน ระหว่างวันที่ 17-22 มิถุนายน 2564 พบว่า
ปัญหาหลักมาจากการระบาดของโควิด-19 และได้มีการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ชนิดต่างๆ ประกอบกับยังมีความกังวลในเรื่องความเพียงพอของปริมาณวัคซีนและประสิทธิภาพ ได้กลายเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความกังวลเป็นอย่างมากกับทิศทางและการก้าวเดินของระบบเศรษฐกิจไทย โดยผู้ตอบคำถามมากถึง 97% มองว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับฟื้นขึ้นมาได้ ก็ต่อเมื่อมีการระดมฉีดวัคซีนให้กับประชาชนให้ได้ 70%ของประชากรโดยเร็วที่สุด อีกทั้งมาตรการที่ต้องทำทันที คือ การคุมเข้มการระบาดในชุมชน และคุมเข้มการลักลอบข้ามแดนของแรงงานต่างชาติ เมื่อได้สอบถามถึงความประสงค์ในการฉีดวัคซีนพบว่ามากกว่าร้อยละ 95ของกรรมการและสมาชิกหอการค้าไทยจีนและสมาพันธ์หอการค้าไทยจีน มีความประสงค์จะฉีดวัคซีนทันที
ส่วนข้อเสนอแนะต่อมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการหากจำนวนผู้ติดเชื้อยังไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในอีก 2 เดือนข้างหน้า มีมาตรการหลักประกอบด้วย การลดภาระภาษีเงินได้นิติบุคคล อาทิ เลื่อนการจ่ายภาษี และลดอัตราภาษีชั่วคราว การปล่อยเงินกู้ให้ครอบคลุมกับผู้ประกอบการมากที่สุด ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำและมีเงื่อนไขที่ผ่อนปรน และเสนอให้รัฐบาลจัดเงินทุนสนับสนุนเพื่อการจ้างงานโดยวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) แรงงานจะไม่ตกงานและธุรกิจยังพอเดินหน้าต่อไปได้
จากการสอบถามความคิดเห็นของเศรษฐกิจการค้า การลงทุนโดยรวมของจีน ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน มากกว่าร้อยละ 50 ของผู้ตอบคำถาม คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะดีขึ้น ขณะที่การค้าระหว่างประเทศระหว่างไทยกับจีนทั้งนำเข้าและส่งออก และการลงทุนจากจีนมาประเทศไทย มีแนวโน้มดีขึ้นในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับปัจจุบัน แต่ความมั่นใจยังไม่สูงเท่าการสำรวจในไตรมาสก่อนหน้านี้
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาส4/64 ผู้ตอบคำถาม 1 ใน 3 คาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน ขณะที่ประมาณร้อยละ 40 คาดว่าจะชะลอตัวลง ทั้งนี้ภาคเศรษฐกิจที่น่ากังวล คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่วนภาคธุรกิจที่จะขับเคลื่อน และพยุงเศรษฐกิจไทยไปได้ ประกอบด้วยธุรกิจออนไลน์ธุรกิจโลจิสติกส์ พืชผลการเกษตร และธุรกิจบริการสุขภาพ ส่วนแนวโน้มของดัชนีตลาดหลักทรัพย์พบว่าไม่มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นคงเดิมหรือว่าลดลง ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอเมริกายังมีแนวโน้มทรงตัวหรืออ่อนค่าลงในไตรมาสหน้า
นอกจากนี้ “หมุนตามทุน” จะเพิ่มเติมอีกนิดจากเสียงสะท้อนของที่ประชุม ผู้บริหารระดับสูงของธุรกิจรายใหญ่ของไทย (40 ซีอีโอ) ซึ่งส่วนใหญ่ค้าขายกับจีนและเป็นพันธมิตรกับกลุ่มทุนจากจีนลงทุนในประเทศไทยซึ่งมีเสียงสะท้อนจากเวทีที่หารือร่วมกันครั้งล่าสุดนั้นสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับหอการค้าไทย-จีน
ใจความสำคัญจากการหารือในเวที 40 ซีอีโอ คือว่า รัฐไม่ควรล็อกดาวน์ทั้งประเทศ ในพื้นที่ที่ไม่มีความเสี่ยงหรือระบาดน้อย ก็ควรให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างปกติ เพราะการล็อกดาวน์ทั้งประเทศทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล จากการล็อกดาวน์ทั้งประเทศครั้งแรกในปี’63 นาน 3 เดือน ทำให้เศรษฐกิจเสียหายเดือนละ 200,000,-300,000 ล้านบาท รวม 3 เดือน900,000 ล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปี’63 ติดลบ 6.1% นอกจากนี้การล็อกดาวน์ (ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงขั้นสูงสุด หรือ 6 จังหวัด) เพียง 14 วัน ไม่น่าจะเพียงพอกับการแก้ปัญหาการระบาดได้ เพราะขณะนี้ ในพื้นที่เสี่ยงสูงทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑล มีการระบาดอย่างหนัก มีสายพันธุ์กลายพันธุ์เดลต้ามาเป็นสายพันธุ์หลัก ดังนั้น ต้องจำกัดการเคลื่อนย้ายของประชาชน ให้ตรวจหาเชื้อแบบ Rapid Test เพื่อแยกคนติดเชื้อออกมา และฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงอย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้น จะควบคุมการระบาดไม่ได้แน่นอน
ทั้งนี้รัฐบาลต้องมีมาตรการเยียวยาครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม เพื่อไม่ให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา และนำเชื้อไปแพร่กระจายทั่วประเทศ โดยรัฐบาลต้องอัดฉีดเงินเยียวยาเข้าระบบภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ ไม่ต้องรอถึงไตรมาส 4 และหากเงินกู้ที่เตรียมไว้ 500,000 ล้านบาทไม่เพียงพอ รัฐบาลยังมีช่องว่างที่จะกู้เพิ่มได้อีก เพราะหนี้สาธารณะยังไม่ชนเพดาน พร้อมกันนี้รัฐต้องจัดหาและจัดสรรวัคซีนให้เร็วเพียงพอทั่วทั้งประเทศ เพราะขณะนี้การฉีดวัคซีนในประเทศไทยไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
นอกจากนี้รัฐบาลควรที่จะใช้ช่วงจังหวะนี้(การล็อกดาวน์) เร่งตรวจเชิงรุกเพื่อตรวจหาคนที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ล็อกดาวน์อย่างเร่งด่วนและรวดเร็ว ต้องเร่งคัดกรอง คัดแยกกลุ่มเสี่ยงออกมาจากกลุ่มคนที่ยังไม่ติดเชื้อ เพราะถ้าปล่อยไว้นานจำนวนผู้ติดเชื้อก็จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจให้รุนแรงมากขึ้น อีกทั้งการแพร่ระบาดระลอก 3 นี้ผลกระทบรุนแรงมากกว่ารอบที่ผ่านๆ มา และภาคเอกชนต้องการให้รัฐบาลจัดการควบคุมการแพร่ระบาดให้จบเร็วที่สุด และรัฐบาลต้องเพิ่มเวลาและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบมากขึ้น เพื่อให้นายจ้างรักษาอัตราการจ้างงานไว้ได้ รวมทั้งช่วยกลุ่มลูกจ้าง ซึ่งจะทำให้ผลกระทบจากมาตรการรอบนี้ไม่รุนแรงมาก
“ภาคเอกชนอยากให้จบเร็วที่สุด วันนี้ พรุ่งนี้ได้ยิ่งดีมาก แต่ในความเป็นจริงอีก 2 เดือนจะจบหรือไม่ น่าเป็นห่วงมาก หวังว่า ระบบสาธารณสุขของประเทศจะ
ล้มเหลวไม่ได้ ไม่เช่นนั้น ไทยจะกลายเป็นรัฐล้มเหลวความเชื่อมั่นจะไม่มี คนต่างชาติหนีกลับประเทศ ทั้งนักการทูต นักธุรกิจ นักลงทุน และจะทำให้เศรษฐกิจล้มเหลว ซึ่งต้องช่วยกันไม่ให้ถึงขั้นนั้น”
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี