nn นอกจากเสียงเรียกร้องจากฝั่งหอการค้าไทยว่าจำนวนเม็ดเงินจากมาตรการเยียวยาการล็อกดาวน์ครั้งล่าสุดนั้นน้อยเกินไป ไม่เพียงพอที่จะรองรับผลกระทบครั้งนี้ได้แล้ว อีกหนึ่งเสียงเรียกร้องคืออยากจะให้ขยายขอบเขตมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐให้ครอบคลุมมากกว่านี้ เช่น มาตรการ “คนละครึ่งควรจะขยายผลให้ครอบคุมถึงการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชั่น ฟู้ดเดลิเวอรี่ ได้ด้วย เพราะตอนนี้ประชาชนต้องทำงานจากที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ และไม่รู้ว่ารัฐบาลจะขยายเวลาการล็อกดาวน์ยาวนานกว่า 14 วัน หรือไม่ เพราะสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 รอบนี้ยังอยู่ในขั้นวิกฤติ
ประเด็นนี้มีเสียงเรียกร้องมาจากหลายฝ่าย เช่น นายวรพจน์ พูลถนอมสุข เจ้าของร้านอาหาร “เป่าซิงสุกี้” ย่าน ถ.เจริญลาภ กล่าวว่า เดิมร้านมี 5 สาขา ปัจจุบันเหลือ 3 สาขา และกำลังจะปิดอีก 1 สาขา เหลือเพียง 2 สาขาเพื่อดำเนินธุรกิจจำหน่ายสุกี้ฯ โดยหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด และรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ทำให้รายได้จากยอดขายลดลงมากกว่า 35% ทั้งนี้ หากรัฐบาลจะปลดล็อก เปิดโอกาสให้ประชาชนที่ได้รับสิทธิในโครงการของรัฐโดยเฉพาะ “คนละครึ่ง” สามารถจ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่มผ่านแอปฯของฟู้ดเดลิเวอรี่แล้วเชื่อว่าจะทำให้ปัญหาการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่ซบเซาจากนโยบายของรัฐ พอจะกระเตื้องขึ้นมาได้ โดยอยากให้ภาครัฐเร่งดำเนินการในทันที ข้ามกฎระเบียบและขั้นตอนใดๆ ก็ตามที่จะทำให้โครงการดังกล่าวเกิดความล่าช้า เนื่องจากเวลาที่ทอดยาวออกไป ยิ่งเป็นการทำลายโอกาสของผู้ประกอบการร้านอาหารฯ
ด้าน น.ส.รัตนาภรณ์ เวชสวรรค์ เจ้าของร้านข้าวมันไก่ “ป.เจริญชัยไก่ตอน” ย่าน ถ.ประชาราษฎร์ ห้วยขวาง กล่าวว่า ร้านได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิดและมาตรการของรัฐ ทำให้ยอดขายหายไปราว 30-40% ส่วนหนึ่งเพราะประชาชนประหยัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น แต่ที่สำคัญคือ ประชาชนไม่ออกจากบ้าน เพราะการประกาศล็อกดาวน์ของรัฐ ทำให้โอกาสที่ร้านจะขายอาหารแก่ลูกค้าที่ใช้จ่ายผ่านโครงการคนละครึ่งยิ่งน้อยลงไปอีก ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ภาครัฐคลายล็อก และเปิดให้มีการใช้จ่ายค่าอาหาร ในโครงการคนละครึ่ง ผ่านแอปฯเป๋าตังโดยเร็ว และเปิดให้ทุกแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่สามารถรับเงินแทนร้านอาหารได้ ส่วนตัวเชื่อว่าสิ่งนี้จะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติได้อย่างแน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารในตอนนี้คือ การกระตุ้นให้เกิดยอดขาย ไม่ว่าจะจากทั้งรัฐบาล หรือแอปพลิเคชั่น เพื่อให้ร้านต่างๆ ยังมีสภาพคล่องและรักษาธุรกิจต่อไปได้
ขณะที่ ผู้บริหารระดับสูงของแอปฯฟู้ดเดลิเวอรี่รายหนึ่ง (ค่ายสีชมพู) กล่าวว่า ก่อนหน้านี้แพลตฟอร์มผู้ให้บริการแอปฯฟู้ดเดลิเวอรี่หลายแห่ง ได้ใช้เวทีการประชุมร่วมกับหน่วยงานของรัฐ เสนอแนวทางการชำระเงินค่าอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่งผ่านแอปฯฟู้ดเดลิเวอรี่มาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด ทั้งนี้ หากภาครัฐจะเปิดให้มีการใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่งผ่านแอปฯฟู้ดเดลิเวอรี่จริง เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่บริษัทเจ้าของแอปฯฟู้ดเดลิเวอรี่เท่านั้น เพราะผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด คือ ผู้บริโภคและร้านอาหาร รวมถึงระบบเศรษฐกิจในภาพรวมที่จะกระเตื้องตามกันไป
ด้าน ดร.เก่งการ เหล่าวิโรจนกุล ผอ.ฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า แกร็บเฝ้าติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง และเห็นว่าเกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ทั้งนี้ หากเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการฟู้ดเดลิเวอรี่สามารถเข้าร่วมได้ ทางแกร็บก็พร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่คนไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกบ้าน และพร้อมให้ภาครัฐตรวจสอบความโปร่งใส ส่วนในทางปฏิบัติ หากภาครัฐปลดล็อกให้มีการใช้จ่ายเงิน (สิทธิ) ในโครงการคนละครึ่งผ่านแอปฯฟู้ดเดลิเวอรี่ แกร็บก็พร้อมร่วมหารือในรายละเอียดกับธนาคารกรุงไทย ที่ดูแลแอปฯเป๋าตัง ถุงเงิน และระบบการชำระเงินในโอกาสต่อไป
ขณะที่ น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะ โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ทำหนังสือถึงผู้ให้บริการแอปพลิเคชั่นสั่งอาหาร ฟู้ดเดลิเวอรี่แล้ว หลังพบการทำผิดเงื่อนไขการใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ในรูปแบบการสแกนคิวอาร์โค้ดใช้จ่ายผ่านคนกลาง ส่วนการปรับเงื่อนไขให้คนละครึ่งเฟส 3 สามารถใช้จ่ายผ่านบริการสั่งอาหารออนไลน์ได้นั้น ยังต้องรอการหารือในรายละเอียดโดยเฉพาะการเชื่อมโยงระบบการใช้จ่าย เพื่อป้องกันการใช้จ่ายผิดวัตถุประสงค์ของโครงการซึ่งอาจจะกลายเป็นเรื่องทุจริตได้
“ใช้จ่ายคนละครึ่งผ่านบริการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ขณะนี้ ถือว่ายังผิดอยู่ ซึ่งคลังได้ส่งหนังสือเชิญผู้ให้บริการแอปพลิเคชั่นสั่งอาหารออนไลน์ดังกล่าวเพื่อมาคุยกันแล้ว ส่วนจะปรับรูปแบบการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับมาตรการเวิร์ก ฟรอม โฮม ของรัฐบาลหรือไม่ ยังต้องรอคุยรายละเอียดการเชื่อมโยงระบบการจ่ายเงินกันก่อนว่าจะทำได้อย่างไรบ้าง ก็จะมาหาวิธีร่วมกัน”
อนึ่ง ยอดการใช้จ่ายโครงการคนละครึ่งเฟส 3 (ข้อมูล ณ วันที่ 11 ก.ค. 2564 ) มีผู้ใช้สิทธิ9.37 ล้านคน ใช้จ่าย 2,193 ล้านบาท เฉลี่ย 234 บาทต่อคน ขณะที่ยอดใช้จ่ายในวันที่ 12 ก.ค.2564 ซึ่งเป็นวันแรกของการใช้มาตรการล็อกดาวน์ ในพื้นที่ 10 จังหวัด มีผู้ใช้สิทธิ 8.94 ล้านคนใช้จ่าย 1,964 ล้านบาท เฉลี่ย 220 บาทต่อคน โดยยอดใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่วันที่ 1-12 ก.ค. 2564มีผู้ใช้สิทธิสะสม 19.7 ล้านคน และยอดใช้จ่ายสะสม 22,487 ล้านบาท
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี