ท่ามกลางชีวิตที่ต้องเร่งรีบแข่งขันเพื่อก้าวให้ทันโลกของเทคโนโลยีใหม่ๆดูจะสวนทางกับวิถีชีวิตของมนุษย์ที่มีจิตใจ อารมณ์ความรู้สึก ที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งคือ หลายคนจมดิ่งไปสู่ก้นบึ้งด้านลบของเทคโนโลยีโดยไม่รู้ตัว เป็นทาสเทคโนโลยี จนขาดทักษะทางสังคม ก่อให้เกิดภัยรุนแรงต่อสังคมในที่สุด ถ้าติดตามข่าวสารในโลกโซเชียลในวันนี้มีอันธพาลไซเบอร์เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งรุนแรงกว่าการ บูลลี่ ด้วยคำพูดที่ให้ร้ายผู้อื่นที่อาจจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน เป็นอะไรที่ร้ายกว่ายาพิษเสียอีก
จะเห็นว่าบางกลุ่มมีการรวมตัวกันเข้าไปถล่มตามเพจต่างๆ ด้วยถ้อยคำหยาบคายกักขฬะ คนเหล่านี้ถูกปั่นด้วยวาทกรรมบิดเบือนต่างๆ ที่ทำให้พร้อมจะเข้าไปรุมถล่มคนเห็นต่างในเพจต่างๆ ได้เสมอ และพวกเขาจะไม่รับข้อมูลเชิงประจักษ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ความเห็นนับหมื่นนับพันในโลกโซเชียลในเวลานี้ ที่ทุกคนคงได้เห็นกันแล้ว นับวันมันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และที่น่ากลัวคือ เราเห็นความเห็นพวกนี้ได้รับการกดถูกใจหลักร้อย คนร่วม 200-300 คนมาถูกใจคำหยาบคาย รุนแรง เกลียดชัง แสดงให้เห็นเลยว่าสังคมไทยกำลังวิกฤติหนัก
คำถามสำคัญคือโลกไซเบอร์วันนี้เป็นสมรภูมิใหม่ ต่อสู้ด้วยโซเชียลมีเดีย เป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องเผชิญอย่างนั้นหรือ????...สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างมหาศาล “อันธพาลไซเบอร์” ใช้เพียงนิ้วกับคีย์บอร์ดทำลายชีวิต หรือหน้าที่การงานรวมไปถึงธุรกิจ กิจการร้านค้าต่างๆ จนแทบไม่มีที่ยืนในสังคม
นอกจากนี้ยังมีอันธพาลไซเบอร์ประเภทหิวแสง แฝงทรัพย์ตามที่สื่อใหญ่เคยกล่าวไว้ นับวันจะมีมากขึ้น “ทำให้ดัง เรียกแขกถูกแชร์ ได้ยอดไลค์ แล้วเงินก็วิ่งมาหา...” โดยไม่คิดถึงผู้ถูกกระทำว่าจะได้รับความเดือดร้อนอย่างไร
อย่างกรณีล่าสุดที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ได้เปิดเผยถึงการเข้าไปจับกุมทลายขบวนการปั่น Fake Newsโจมตีบริษัทนมชื่อดัง จากเพจที่โพสต์ข้อความ และภาพในลักษณะบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพื่อทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ ทำให้บริษัทของผู้เสียหายได้รับความเสียหายต่อเนื่อง ปรากฏว่าแอดมินเพจเป็นเจ้าของบริษัทที่ปรึกษาด้านโฆษณา และประชาสัมพันธ์ ซึ่งพบว่าเป็นการว่าจ้างจากนายทุนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
เป็นข่าวที่สะท้อนสังคมที่ชี้ให้เห็นอันธพาลทางไซเบอร์ที่น่ากลัวในยุคนี้ คิดจะระราน กลั่นแกล้ง ให้ร้าย ด่าว่า หรือข่มเหงใครก็ได้ทางไซเบอร์ และเมื่อเร็วๆ นี้เจ้ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ยังได้ออกมาให้ข้อมูลอีกว่าในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา(1 ต.ค. 2563-30 มิ.ย. 2564) จากการเก็บข้อมูลเชิงลึกของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมพบว่า คนไทยกว่า 20 ล้านคนเป็นผู้แชร์ข่าวปลอม ถ้าเราดูตัวเลขสถิติเมื่อต้นปี 2564ประชากรไทยมีประมาณ 69.98 ล้านคนเป็นเจ้าของโทรศัพท์เคลื่อนที่ 90.66 ล้านเลขหมาย (1 คนมีมากกว่า 1 เบอร์) เป็นผู้ใช้อินเตอร์เนต 48.59 ล้านคน คิดเป็น 69.5%ของประชากรทั้งหมด และเป็นผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ 55 ล้านคน หรือ 78.7% ของประชากรทั้งหมด การที่คน 20 จาก 55 ล้านเป็นผู้แชร์ข่าวปลอม ที่สำคัญอยู่ในช่วงอายุ18-34 ปี ตัวนี้น่ากลัวมาก
คำถามคือ แล้วพวกเราจะปล่อยให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้หรือ? จะรอให้ถึงวันที่เยาวชนรุ่นใหม่ที่โตขึ้นมา พร้อมกับบริบทสังคมที่เต็มไปด้วยการบิดเบือนข่าวสารข้อมูล จะให้พวกเขาโตขึ้นมากับการถูกปลูกฝังความเกลียดชัง ความรุนแรงจากการกระทำของอันธพาลไซเบอร์ ถือเป็นบาปหนักเพราะในอดีต หากไม่พอใจใคร หรือทะเลาะกันก็ด่าเพียงคนเดียว แต่การรังแกกันบนโลกไซเบอร์ คนทั้งประเทศรุมประณามทันทีทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร หลายคนรับไม่ได้ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า หรือจบชีวิตตัวเองลงเลยก็มี ซึ่งหลายกรณีก็เกิดกระแสตีกลับ มีคนที่ไม่เห็นด้วยเข้ามาถล่มอันธพาลไซเบอร์ขุดเรื่องราวไม่ดีมาแฉ แบบไม่มีที่ยืนในสังคมเช่นกัน เรียกว่ากรรมติดจรวด
นี่คือโจทย์ใหญ่ของสังคมไทยที่วิกฤติไม่แพ้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสCOVID-19 วันนี้ประเทศไทยมี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่กำกับดูแลเกี่ยวกับการกระทำผิดทางไซเบอร์อยู่แล้ว จะทำอย่างไรให้กฎหมายฉบับนี้ออกฤทธิ์ กำราบอันธพาลทางไซเบอร์อย่างอยู่หมัดเพื่อให้สังคมออนไลน์เป็นสังคมสีขาวที่น่าอยู่มากขึ้น
ธนาคารยูโอบี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี