สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย จนถึงสัปดาห์ที่สามของเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 ดูน่าวิตกกังวล ตัวเลขผู้ติดเชื้อในแต่ละวันทะลุหลักหมื่น ผู้ป่วยสะสมมากกว่า 410,000 ราย ผู้เสียชีวิตยอดสะสมรวมกันทะยานพุ่งเกือบ 4,000 ราย ทั้งโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ มีไม่เพียงพอสำหรับการดูแลผู้ป่วยอย่างทั่วถึง
ย้อนไปเมื่อประมาณเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 มีการตรวจพบผู้ป่วยโควิด-19 ในประเทศไทย บริษัทประกันหลายแห่งได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ความคุ้มครองโรคโควิด-19ให้ผู้เอาประกันเลือกหลายรูปแบบ ส่วนมากเมื่อฟังแค่โฆษณา ผู้เอาประกันจะเข้าใจ เพราะใช้ภาษาสั้นๆ แต่ได้ใจความ เช่น “เจอ จ่าย จบ” “เจอ จ่าย รักษา” “เจอ จ่ายรักษา โคม่า” “เจอ จ่าย ไม่จบ ดูแลต่อ” “รักษา โคม่า” ค่าเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพัน
เหตุผลหลักของการทำประกันโควิด-19 คือ 1. ป้องกันความเสี่ยงที่อาจติดเชื้อได้ในอนาคต เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการรักษา 2. เป็นมรดกให้กับคนในครอบครัว ในกรณีเสียชีวิต
รูปแบบการประกันโควิด-19 แต่ละบริษัทจะมีแผนความคุ้มครองที่แตกต่างกัน (1) คุ้มครองค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่าย ตามจำนวนเงินที่ตกลงกัน เมื่อตรวจพบเชื้อโรคไวรัสโควิด-19 (2) คุ้มครองเมื่อภาวะโคม่า หรือเสียชีวิตจากการติดเชื้อโรคไวรัสโควิด-19 (3) ค่ารักษาพยาบาลจากการติดเชื้อโรคโควิด-19 (4) ค่าชดเชยรายวันระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล
ประกันภัยโควิด-19 ที่ได้รับความนิยมในปีพ.ศ.2563 เป็นประกันโควิดแบบ “เจอ จ่าย จบ” โดยจะจ่ายเงินให้แก่ผู้ที่ได้รับการยืนยันพบเชื้อโควิด-19 ในจำนวนที่ต่างกันไป แล้วแต่เบี้ยประกันที่ชำระ เช่น 99 บาท หากพบเชื้อจ่าย 20,000 บาท, 199 บาท หากพบเชื้อ จ่าย 50,000 บาท,399 บาท หากพบเชื้อ จ่าย 100,000 บาท ในเรื่องของเบี้ยประกันและความคุ้มครองกรณีพบเชื้อ แต่ละบริษัทยังมีความแตกต่างกัน สำหรับผู้เอาประกันสนใจแบบใด จะพิจารณาว่า มีกำลังซื้อแค่ไหน บางครอบครัวอาจมีสมาชิกในครอบครัวหลายคน อาจเลือกแบบที่ตนซื้อได้และไม่เป็นภาระมากไป ความมั่นคง ชื่อเสียง ความไว้วางใจ การให้บริการความรวดเร็วในการจ่ายค่ารักษา หรือสินไหมทดแทนมีความสำคัญเช่นกัน
ถ้าได้ซื้อประกันภัยแล้ว แน่นอนผู้เอาประกันภัยต่างต้องสบายใจ เพราะหากติดโควิด-19 บริษัทประกันภัยย่อมต้องปฏิบัติตามแผนที่ซื้อไว้ เนื่องจากเข้าเงื่อนไขตามที่บริษัทกำหนด เช่น ไม่ได้ติดโควิดมาก่อน พ้นระยะเวลารอคอย 14 วัน และได้ชำระเบี้ยประกันแล้ว เพราะที่ผ่านๆ มา ถ้าผู้เอาประกันภัยไม่ปกปิดข้อเท็จจริง บริษัทประกันภัยมักจะปฏิบัติตามสัญญา
นั่น คือ ความคาดหวังของการฝากชีวิต แต่แล้วจู่ๆ บริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง กลับมีหนังสือถึงผู้เอาประกันโดยตรง มีการส่งต่อหนังสือนี้ทางโซเชียลด้วย ใจความสำคัญ คือ “การระบาดของโควิด-19 เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง จึงนับเป็นภาวะวิกฤติด้านสาธารณสุขในระดับที่ท้าทาย จนไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า สถานการณ์จะพัฒนาไปสู่จุดใด บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด เจอ จ่าย จบ หรือ COVID 2 in 1 ให้สิ้นสุดความคุ้มครองทั้งฉบับ เมื่อล่วงพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ผู้เอาประกันได้รับหนังสือเป็นต้นไป พร้อมคืนเบี้ยประกันให้ลูกค้าภายใน 15 วัน โดยหักเบี้ยประกันสำหรับระยะเวลาที่ใช้บังคับออกตามส่วน”
ทันทีที่มีการเผยแพร่หนังสือนี้ ทั้งผู้เอาประกันภัยและประชาชนทั่วไป ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ทางลบในวงกว้าง ไม่เพียงแต่จะยกเลิกไม่ให้ความคุ้มครองบริษัทเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เพราะได้หักเบี้ยประกันสำหรับระยะเวลาที่ใช้บังคับออกตามส่วน บริษัทสามารถยกเลิกสัญญาเช่นนี้ได้หรือ? ทั้งยังไม่ได้คืนเต็มจำนวนเงินที่บริษัทเก็บไปย่อมเอาไปแสวงหาผลประโยชน์ของบริษัท ถือได้ว่า เป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้เอาประกันอย่างเห็นได้ชัดยิ่งสถานการณ์การแผ่ระบาดโควิด-19 ไม่ต่างอะไรจากการลอยแพลูกค้าซึ่งเป็นผู้เอาประกัน ทั้งที่ตามหลักสัญญา เมื่อสัญญาผูกพันกัน โดยมีกำหนดเวลาที่แน่นอน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญากับอีกฝ่ายหนึ่งตามอำเภอใจ โดยที่ไม่ได้มีการทำผิดสัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้
ภายในวันเดียวกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในฐานะนายทะเบียนได้ลงนามในคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ห้ามบริษัทดังกล่าวบอกเลิกทำประกันภัยโควิด-19 เพื่อสร้างความเป็นธรรม บรรเทาความเดือดร้อนคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยและประชาชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19
งานนี้บรรดาผู้เอาประกันและประชาชนต้องขอชื่นชมและขอบคุณ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ การมีคำสั่งนี้ ถือเป็นคำสั่งทางปกครอง มีสภาพบังคับให้ทุกบริษัทประกันวินาศภัยต้องปฏิบัติตาม ทำให้บรรดาบริษัทประกันวินาศภัย ไม่กล้าทำตามบริษัทดังกล่าว ในทางตรงข้าม ได้พลิกวิกฤติให้มาเป็นโอกาส บริษัทประกันวินาศภัยทุกบริษัท ต่างมีหนังสือยืนยันลูกค้าว่าจะไม่ทอดทิ้งผู้เอาประกัน
แม้ต่อมาบริษัทแห่งนั้น ได้ออกประกาศว่า “ขอแจ้งยกเลิก จดหมายบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยไวรัสโคโรนาแบบ เจอ จ่าย จบ หรือ COVID 2 in 1 ที่ลูกค้าได้รับโดยบริษัทยืนยันให้ความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยไวรัสโคโรนาดังกล่าวกับลูกค้าตามเดิม บริษัทขออภัยลูกค้าเป็นอย่างสูง มา ณ โอกาสนี้”
แต่การออกประกาศเช่นนี้ ไม่สามารถที่จะเรียกคืนความไว้เนื้อเชื่อใจ ที่ผู้เอาประกันและประชาชน มีให้กับบริษัทอย่างที่เคยมีมาก่อน เป็นที่น่าเสียดายอย่างมาก ที่ชื่อเสียงของบริษัทที่เรียกจนติดปาก ต้องถูกเปลี่ยนชื่อในทางลบ ชื่อที่สั่งสมมานานนับปีกลับหายไปเพียงแค่ไม่ถึงข้ามคืน คนจำนวนไม่น้อยต่างพากัน จะไม่ต่อกรมธรรม์ที่ถืออยู่ และเลือกที่จะไม่ซื้อผลิตภัณฑ์อื่นๆ
หาก บริษัทเพียงแห่งเดียวสามารถยกเลิกประกันคุ้มครองโควิดได้ บริษัทประกันวินาศภัยรายอื่นๆ คงพร้อมกันทำตาม เพราะไม่มีบริษัทใด อยากรับภาระความเสี่ยงอีกต่อไป
งานนี้ถือได้ว่า คปภ.ยืนเคียงข้างผู้เอาประกันอย่างเต็มที่ สามารถสั่งการ แก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว จบภายในวันเดียว สมควรที่หน่วยงานและองค์กรที่ดูแลผู้บริโภค ควรเอาเป็นแบบอย่าง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี