** ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์แนวหน้า โดยคอลัมน์ “โลกการค้า” ได้นำเสนอบทความเกี่ยวกับการข้อสงสัยในการดำเนินการของ การไฟฟ้าส่วนภูภาค (กฟภ.) ที่ได้กล่าวโทษว่า บริษัท บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด(มหาชน) และกรรมการของบริษัทฯ เป็น “ผู้ทิ้งงาน” อยู่ในระบบจัดซื้อจัดจ้างและพัสดุของภาครัฐ...ในโครงการก่อสร้างระบบสายส่ง 115 เควี ช่วงสถานีไฟฟ้าปัตตานี 2-สายบุรี จังหวัดปัตตานี มูลค่า 125 ล้านบาท.... ซึ่งข้อสงสัยที่ “โลกการค้า” ได้นำเสนอไปนั้นเหตุเพราะว่า การกระทำของ กฟภ.ย้อนแย้งกันเอง จากเดิมที่ตัดสินไปแล้วในปี 2562 ว่า บ.บูรพาฯ ไม่ได้เป็นผู้ทิ้งงาน แต่เมื่อ กฟภ.เปลี่ยนผู้บริหารที่รับผิดชอบงานคนใหม่ กลับนำเรื่องนี้มาพิจารณาอีกครั้ง หลังจากเวลาผ่านมา 2 ปี และกลับทำหนังสือถึงกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ลงโทษบริษัทให้เป็น “ผู้ทิ้งงาน” ราชการ
ล่าสุด นายไรวินท์ เลขวรนันท์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาชี้แจงต่อกรณีดังกล่าวว่า ที่ผ่านมา บริษัทบูรพาฯ เคยเป็นคู่สัญญากับกฟภ. มาหลายโครงการ ไม่เคยมีปัญหาส่งมอบงานล่าช้า ไม่ทันตามที่กำหนดเวลา ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นกับโครงการก่อสร้างระบบสายส่ง 115 เควี นั้น เพราะว่า หลังจากลงนามในสัญญากันเสร็จเรียบร้อย ปรากฏว่าช่วง 3-4 เดือนแรกมีปัญหา กฟภ. ไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้กับบริษัทได้ แม้หลังจากนั้นจะเริ่มทยอยส่งมอบพื้นที่ให้กับบริษัทบูรพาฯ แต่ก็ยังเข้าพื้นที่ไม่ได้ เพราะมีปัญหากับชาวบ้านในพื้นที่ และ กฟภ.ไม่ได้ช่วยเจรจากับชาวบ้านตามที่ บริษัทฯร้องขอ นอกจากนี้ในระหว่างดำเนินการก็มีปัญหาเรื่องความไม่สงบและปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนครบสัญญา 720 วัน ทาง กฟภ. ขยายเวลาให้บริษัทอีก 120 วัน ตามมติ ครม. เพื่อช่วยเหลือผู้รับเหมาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย แต่ กฟภ. ไม่ได้ขยายสัญญาฯ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทบูรพาฯ ได้ชำระค่าปรับและค่าเสียหายให้ กฟภ. กว่า 20% ของมูลค่างาน
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 กฟภ. ทำหนังสือถึงบริษัท แจ้งบอกเลิกสัญญา ทางบริษัทบูรพาฯ ก็สอบถามกฟภ. ว่าหลังจากบอกเลิกสัญญาแล้วทางบริษัทจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป ทาง กฟภ. ก็แจ้งให้บริษัทฯ สำรวจทรัพย์สินของโครงการ ส่วนไหนที่ กฟภ. ไม่ตรวจรับงานก็เป็นทรัพย์สินของบริษัทฯ จากนั้น กฟภ. ก็มีหนังสือมาถึงบริษัทบูรพาฯ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2562 ขอให้บริษัทบูรพาฯชี้แจงเหตุผลกรณีที่ไม่สามารถส่งมอบงานได้ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 ทั้งนี้ เพื่อนำไปใช้ประกอบการพิจารณาว่าบริษัทบูรพาฯ มีเจตนาละทิ้งงานราชการหรือไม่ และ วันที่ 7 ตุลาคม 2562 กฟภ. แจ้งให้บริษัทบูรพาฯ ทำหนังสือชี้แจงเหตุผลที่บริษัทฯ ไม่สามารถส่งมอบงานให้ กฟภ. ได้ภายใน 15 วัน ทางบริษัทบูรพาฯ ก็ทำหนังสือชี้แจงเหตุผล พร้อมแนบเอกสารหลักฐานต่างๆ ส่งให้ กฟภ. พิจารณาภายในกำหนดเวลา
ต่อมา เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2562 กฟภ. ก็ทำหนังสือแจ้งผลการพิจารณาว่าบริษัทบูรพาฯ ไม่มีเจตนาและพฤติกรรมเป็นผู้ทิ้งงานราชการ โดยหนังสือจาก กฟภ.ระบุว่า “แม้บริษัทบูรพาฯ จะไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ ถือเป็นไม่ปฏิบัติตามสัญญา ซึ่งเป็นการกระทำอันมีลักษณะเป็นการทิ้งงาน ตามมาตรา 109 (2) แห่ง พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 แต่เนื่องจากบริษัทบูรพาฯ มีเจตนาที่จะปฏิบัติงานตามสัญญาให้แล้วเสร็จ แม้เกิดอุปสรรคในการก่อสร้าง ประกอบกับ กฟภ. ขอยกเลิกสัญญา บริษัทฯ ก็ไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบ และยินยอมจ่ายค่าปรับให้แก่ กฟภ. ดังนั้น กฟภ. จึงเห็นควรไม่ลงโทษบริษัทฯ เป็นผู้ทิ้งงาน”
นายไรวินท์กล่าวต่อว่า หลังจากนั้น บริษัท บูรพาฯ ก็ไม่ได้รับการติดต่อจาก กฟภ. ในกรณีดังกล่าวอีกเลยเป็นเวลาเกือบ 2 ปี จนกระทั่งมาถึงช่วงเดือนมีนาคม 2564 มีสื่อมวลชนนำเสนอข่าวเชิงตั้งคำถามถึงผู้ว่าฯกฟภ. เหตุใดไม่ลงโทษบริษัทบูรพาฯ เป็นผู้ทิ้งงานทั้งๆ ที่ส่งมอบงานไม่ได้ตามสัญญาฯ แต่ทางบริษัทบูรพาฯ ก็ไม่ได้รับการติดต่อให้ไปชี้แจงข้อเท็จจริงแต่ประการใด จนกระทั่งมาถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 ได้ทราบข่าวจากสื่อมวลชนว่า กฟภ. กลับลำ ลงโทษบริษัทบูรพาฯ ให้เป็นผู้ทิ้งงานราชการ และหลังจากได้ทราบข่าวจึงไปสอบถามผู้บริหารของ กฟภ. และกรมบัญชีกลาง เพื่อขอข้อมูลและหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาลงโทษให้บริษัทบูรพาฯ เป็นผู้ทิ้งงาน เพื่อส่งให้ฝ่ายกฎหมายของบริษัทตรวจสอบ และเอกสารที่ได้มา พบว่า กระบวนการพิจารณาลงโทษให้บริษัทบูรพาฯ เป็น “ผู้ทิ้งงาน” ครั้งที่ 2เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 โดยนายสมพงษ์ปรีเปรม อดีตผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคขณะนั้น ทำหนังสือไปสอบถามอธิบดีกรมบัญชีกลางว่า “กรณีที่ กฟภ. เคยมีความเห็นว่าบริษัทบูรพาฯ ไม่มีเจตนาและพฤติกรรมที่จะเป็นผู้ทิ้งงาน หรือจงใจทำให้ กฟภ. เสียหายนั้น สอดคล้องกับมาตรา 109 (2) หรือไม่ กฟภ. ควรดำเนินการอย่างไร”....ต่อมาวันที่ 21 เมษายน 2564 นายนุกูล ตูพานิชรองผู้ว่าการ กฟภ. สายงานก่อสร้างและบริหารโครงการ ทำหนังสือแจ้งปลัดกระทรวงการคลังว่าบริษัทบูรพาฯ ไม่มีเจตนาทิ้งงานราชการ ตามมาตรา 109 (2) แห่ง พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ ทาง กฟภ. จึงเห็นควรไม่ลงโทษบริษัทบูรพาฯ ไม่เป็นผู้ทิ้งงาน ต่อมา เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายนุกูลทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงการคลัง ขอยกเลิกการจัดส่งหนังสือการพิจารณาไม่ลงโทษบริษัทบูรพาฯ เป็นผู้ทิ้งงาน
วันที่ 11 มิถุนายน 2564 นายประภาศ คงเอียดอธิบดีกรมบัญชีกลาง ทำหนังสือตอบข้อหารือส่งถึงผู้ว่าการ กฟภ. สรุปใจความสำคัญว่า “เมื่อปรากฏข้อเท็จจริง บริษัทบูรพาฯ ไม่สามารถทำงานได้ตามแผนงานที่กำหนด กฟภ. จึงบอกเลิกสัญญา และได้มีหนังสือแจ้งให้บริษัทฯ ชี้แจงข้อเท็จจริงกลับมา จึงเป็นดุลพินิจของ กฟภ. ในการพิจารณาว่าบริษัทฯ กระทำการอันมีลักษณะทิ้งงานตามมาตรา 109 หรือไม่ เมื่อได้ผลการพิจารณาแล้วก็ให้เสนอปลัดกระทรวงการคลัง หากปลัดกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่าบริษัทฯ สมควรเป็นผู้ทิ้งงาน ก็ให้ดำเนินการออกคำสั่งให้บริษัทฯ และกรรมการผู้จัดการของบริษัทฯ เป็นผู้ทิ้งงาน พร้อมทั้งแจ้งเวียนชื่อผู้ทิ้งงานให้หน่วยงานของรัฐต่างๆ ทราบ แต่ถ้าหากปลัดกระทรวงการคลังเห็นว่าบริษัทฯ ไม่เป็นผู้ทิ้งงาน จะแจ้งผลการพิจารณาไปให้ กฟภ. ทราบต่อไป”
หลังจากผู้ว่าการ กฟภ. ได้รับหนังสือตอบข้อหารือจากอธิบดีกรมบัญชีกลางแล้ว เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม2564 ก็แทงเรื่องลงไปถามผู้อำนวยการกองนิติกรรมของ กฟภ. ขอให้กองนิติกรรม พิจารณากรณีที่ กฟภ. เคยให้ความเห็นว่าบริษัทบูรพาฯ ไม่เป็นผู้ทิ้งงาน ตามหนังสือเลขที่ กจค.2 (คพ) 1975/2562 ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ปรากฏว่ากองนิติกรรมให้ความเห็นต่อกรณีที่ กฟภ. เคยวินิจฉัยว่าบริษัทบูรพาฯ ไม่เป็นผู้ทิ้งงานเมื่อปลายปี 2562ว่า “ยังไม่มีความเห็นของกองนิติกรรม ให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง ครบถ้วนด้านกฎหมาย เพื่อประกอบการพิจารณา และนำเสนอผู้ว่าการ กฟภ. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ”
“ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา กฟภ. ไม่เคยเรียกบริษัทบูรพาฯ เข้าไปชี้แจงเหตุผลอีกเลย เข้าใจว่าจะใช้ข้อมูลเดิมจากการที่บริษัทเคยทำหนังสือชี้แจงเหตุผลไปเมื่อปี 2562 จึงมีข้อสังเกตว่า กระบวนการพิจารณาลงโทษบริษัท เป็นผู้ทิ้งงานเกิดขึ้นภายใน 3 วัน ไม่นับวันหยุดราชการ เริ่มจากวันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม 2564 มีการแทงเรื่องลงไปถามกองนิติกรรรม วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564 กองนิติกรรมทำความเห็นส่งให้ผู้ว่าการ กฟภ. ลงนามในหนังสือแจ้งผลการพิจารณาลงโทษบริษัทฯ ให้เป็นผู้ทิ้งงานเมื่อวันอังคารที่ 13 กรกฎาคม 2564 เพื่อส่งให้ปลัดกระทรวงการคลังสั่งลงโทษบริษัทเป็นผู้ทิ้งงาน” นายไรวินท์กล่าว
นอกจากนี้ ทางฝ่ายกฎหมายของบริษัทได้ตรวจสอบกรณีที่กองนิติกรรมมีความเห็นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 ว่าการที่ กฟภ. เคยตัดสินไม่ลงโทษบริษัทเมื่อปี 2562 นั้น ยังไม่เคยมีความเห็นจากนิติกรรมให้เป็นไปอย่างถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย ซึ่งย้อนแย้งกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในเอกสารการประชุมพิจารณาผู้ทิ้งงานของ กฟภ. เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องประชุมฝ่ายบริหารโครงการพิเศษ ชั้น 4 อาคาร 2 กฟภ. โดยมี นางสาวสมสิริ เศรษฐพูธ์ นิติกร 4 สังกัดกองนิติกรรม เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งในวาระที่ 5 กองนิติกรรมได้ให้ความเห็นต่อที่ประชุมถึงขั้นตอนตามกฎหมาย หลังจากที่ประชุมมีมติให้บริษัทบูรพาฯ ได้รับการยกเว้นไม่เป็นผู้ทิ้งงาน
“ล่าสุดนี้ บริษัทบูรพาฯ ได้ทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงการคลัง และอธิบดีกรมบัญชีกลาง พร้อมข้อเท็จจริงและเอกสารหลักฐานต่างๆ เพื่อขอพิจารณาใหม่ตามมาตรา 54 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. 2539 โดยขอให้เพิกถอนคำสั่งให้บริษัทฯเป็นผู้ทิ้งงานและขอให้มีคำสั่งทุเลาการบังคับใช้มาตรการทางปกครองตามมาตรา 63/2 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ทั้งนี้เพราะว่า กฟภ.ได้เคยมีการพิจารณา และใช้ดุลพินิจตามขั้นตอนโดยชอบด้วยกฎหมาย แล้ว ว่า บริษัทฯไม่มีลักษณะเป็นผู้ทิ้งงาน และมีหนังสือแจ้งให้บริษัทฯทราบ ตามขั้นตอนวิธีปฏิบัติของ กฟภ. และ กฟภ. ไม่มีอำนาจ ใช้ดุลพินิจขึ้นมาใหม่ เนื่องจากมิได้มีข้อเท็จจริงใหม่ในการพิจารณา”
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี