nn ก่อนหน้านี้ “หมุนตามทุน” ได้ฉายภาพของเศรษฐกิจไทยผ่านมุมมองของ ผู้กำกับนโยบายสำคัญด้านเศรษฐกิจ ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย และ กระทรวงการคลัง ที่เกิดขึ้นใน “Thailand Focus 2021” เวที สัมมนาใหญ่ประจำปี ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ...วันนี้ “โลกการค้า” จะนำเสนอมุมมองของภาคเอกชนในหลากหลายสาขา เพื่อสะท้อนภาพว่าต่อจากนี้ เศรษฐกิจไทยจะไปทางไหนในช่วงเวลาที่จะต้องอยู่กับ “โควิด-19” ไปอีกนาน
คำถามสำคัญของสังคมไทยตอนนี้คือ....ทิศทางในอนาคตของภาคธุรกิจจะเป็นไปอย่างไร...ซึ่ง ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ระบุว่า โควิดได้ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมธุรกิจในสเกลที่หลากหลาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการบิน การท่องเที่ยวและโรงแรมได้รับผลกระทบรุนแรงหนักสุด โดยจะใช้ระยะเวลาพอสมควรหรือไม่ต่ำกว่า 4 ปี ในการฟื้นตัวกลับมาอยู่ในภาพเดิมก่อนเกิดการระบาดของโควิด ซึ่งทางกรุงศรีคาดการณ์ว่าในปี 2022 นี้ ไทยอาจจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามาที่ระดับ 2.5 ล้านราย (2021 : คาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 150,000 ราย) และภาคอุตสาหกรรมธุรกิจการท่องเที่ยวควรจะปรับเปลี่ยนตัวเองให้ก้าวทันโลกหลังโควิด เพื่อคว้าโอกาสในอนาคต โดยให้ความสำคัญใน 4 ส่วน คือ1. ประเด็นสังคมผู้สูงอายุ และการที่ผู้บริโภคขยายฐานตัวเอง มีความชื่นชอบที่หลากหลาย 2. ความต้องการที่สูงขึ้นจากกลุ่มชนชั้นกลางที่ขยายตัว และบริการแบบ Personalization 3. ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวก และยกระดับประสบการณ์ในการท่องเที่ยว 4. เน้นการให้ความสำคัญกับประเด็นความกังวลด้านสุขภาพของผู้เข้าพัก นักท่องเที่ยว
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยังเชื่อว่า 6 เซกเตอร์อุตสาหกรรมของไทยที่มีศักยภาพในการเติบโตต่อจากนี้หากมีการปรับตัวทางธุรกิจ ประกอบไปด้วย เกษตรกรรมและอาหาร, อุตสาหกรรมไฮเทค, ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์, โรงแรมและการแพทย์, โมเดิร์นเทรดและโทรคมนาคม และโลจิสติกส์ อย่างไรก็ตามภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในระยะยาวจะมีทิศทางการฟื้นตัวที่ดีแน่นอนเนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งการขยายตัวของกลุ่มชนชั้นกลางและเศรษฐีหน้าใหม่ และการที่ไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางลำดับต้นๆของพวกนักท่องเที่ยวจากทั่วมุมโลก
หากตั้งประเด็นว่าแล้ว...ภาคธุรกิจไทยปรับตัวอย่างไรในช่วงสถานการณ์โควิด... นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โควิดสร้างผลกระทบที่ฝังรากลึกและแพร่กระจายความเสียหายในวงที่กว้างกว่า และฟากของธนาคารกรุงเทพเองก็ได้รับผลกระทบที่รุนแรงไม่แพ้กัน แต่ที่ผ่านมาสิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญมาโดยตลอดนั่นคือการนำเสนอความช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มธุรกิจด้วยวิธีการที่หลากหลาย ทั้งการรักษาสภาพคล่อง การให้เข้าถึงสินเชื่อ Soft Loan ผ่านมาตรการของ ธปท. รวมถึงความร่วมมือที่เกิดขึ้นกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำในอุตสาหกรรมที่สำคัญเพื่อให้เข้าถึงซัพพลายเชนด้านการเงิน เพื่อให้ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้
“ในโลกยุคหลังโควิด เป็นเรื่องจำเป็นที่ผู้ประกอบการธุรกิจจะต้องเร่งทรานส์ฟอร์มองค์กรและธุรกิจต่างๆ รวมถึงใช้กลยุทธ์การ Diversify เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตธุรกิจไปยังสังเวียนอื่นๆ คว้าโอกาสจาก S-Curve อุตสาหกรรมแห่งอนาคตไว้ให้ได้ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า, เซมิคอนดักเตอร์, พลังงานทางเลือก หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เป็นต้น ในแง่ของรัฐบาล อยากเสนอว่า การลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานของประเทศ รวมถึง EEC จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศได้มหาศาล ทั้งยังเป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศได้” นายชาติศิริกล่าว
ขณะที่ในมุมมองของ เซ็นทรัล รีเทล นั้นพวกเขามองเห็นถึงสัญญาณความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2017 แล้ว ซึ่งในวันนั้นเป็นเรื่องของประเด็นการดิสรัปต์ทางเทคโนโลยีดิจิทัลที่แต่ละเซกเตอร์ก็ได้รับผลกระทบแตกต่างกัน ทำให้มีการปรับตัวครั้งใหญ่เพื่ออยู่รอดมาตั้งแต่เวลานั้นตามกลยุทธ์ ‘New Central New Retail’ ทำให้โชคดีที่ถึงแม้จะเกิดโควิดซึ่งสร้างผลกระทบรุนแรง แต่เซ็นทรัล รีเทล ก็ได้ปรับตัวมาก่อนหน้านี้แล้วเพื่อปูทางไว้ล่วงหน้า โดยในแง่การเข้าถึงผู้บริโภคด้วยกลยุทธ์แบบ Customer Centric Omni-Channel ที่เชื่อมกันระหว่างออนไลน์และออฟไลน์แบบไร้รอยต่อ
“ไม่แน่ใจว่าต่อจากนี้เราจะได้ใช้ชีวิตในโลกยุคหลังโควิดจริงๆ หรือต้องทนใช้ชีวิตกับโควิดต่อไป แต่สิ่งที่แน่นอนคือเราต้องทำการรีเซตครั้งใหญ่ทั้งในเศรษฐกิจเชิงมหภาคและในฝั่งธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทลเอง เนื่องจากผู้บริโภคได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและย้ายตัวเองไปบนโลกใหม่แล้ว นอกจากนี้ก็ต้องปรับกระบวนคิดใหม่ใน 3 ด้าน ประกอบด้วย การให้ความสำคัญกับบุคลากร, ปรับโมเดลธุรกิจใหม่ โฟกัสที่จุดแข็งและเร่งความเร็วในการทำธุรกิจ ซึ่งตอนนี้เป็นโลกของการทำงานร่วมกันทุกฝ่ายไม่ใช่แบบ One Man Show อีกแล้ว และสุดท้ายคือการปรับวิธีคิดในแง่การลงทุนให้เน้นไปที่ประสบการณ์เป็นสิ่งตอบแทนเป็นสำคัญ”
ด้านนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ระบุว่า ในเครือธุรกิจ SCG จะประกอบไปด้วย 3 ภาคส่วนหลักๆ คือ ธุรกิจเคมีคอล ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ของธุรกิจทั้งหมด (ได้รับผลกระทบในสเกลระดับโลก) ตามมาด้วยธุรกิจปูนซีเมนต์และสิ่งก่อสร้างที่มีสัดส่วน 30%(ผลกระทบระดับท้องถิ่นในประเทศ) และธุรกิจแพ็กเกจจิ้งที่ 20% (ผลกระทบระดับภูมิภาค) และ นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด สิ่งที่ SCG ย้ำชัดเจนมาตลอดคือธุรกิจของพวกเขาเดินได้โดย “มนุษย์” ดังนั้น SCG จึงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและสุขภาพของบุคลากรนำมาเป็นอันดับแรก ประการถัดมา สิ่งที่เขาทำในฐานะผู้นำองค์กรคือ พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้ก่อนจะตัดสินใจใดๆ ก็ตามในเชิงการปรับตัว โดยสิ่งที่เริ่มทำเป็นอันดับแรกคือการปรับเวลาประชุมของทีมผู้บริหารระดับอาวุโสให้ถี่ขึ้นจากรายเดือนเป็นรายสัปดาห์ ประเมินสถานการณ์จากการรับข้อมูลโดยบุคลากรทางการแพทย์อย่างถี่ถ้วน รวมถึงให้ความสำคัญกับสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทเพื่อให้แน่ใจว่าจะรับมือกับโควิดได้
“ ยังคาดหวังที่จะได้เห็นภาพการฟื้นตัวแบบดีดกลับของเศรษฐกิจไทยในโลกหลังโควิด ดังที่ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นในสหรัฐฯ, จีน และยุโรป โดยที่ธุรกิจเคมีคอลของ SCG ยังอยู่ในสภาวะตลาดที่แข็งแกร่ง ส่วนกลุ่มธุรกิจปูนซีเมนต์และสิ่งก่อสร้างจะต้องให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมต่อจากนี้ ฟากแพ็กเกจจิ้งจะให้ความสำคัญกับ3 ส่วนคือ อาหาร การแพทย์ และอี-คอมเมิร์ซ ในกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ หากภาคอุตสาหกรรมการเกษตรสามารถปรับแนวทางมาเน้นด้านความยั่งยืนและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีได้ก็จะส่งผลดีกับเศรษฐกิจของทั้งประเทศตามไปด้วย” นายรุ่งโรจน์กล่าว
จากที่ทั้ง “หมุนตามทุน” และ “โลกการค้า” ได้นำเสนอมานี้ เชื่อว่าหลายส่วนคงจะมองเห็นทิศทางในอนาคตของสังคมและเศรษฐกิจไทยว่าจะไปต้องไปในทิศทางไหนในยุคหลังโควิด-19 หรือจะต้องอยู่กับโควิด-19 ได้อย่างไร ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้การที่ภาคสังคมและเศรษฐกิจไทยจะเดินไปในทิศทางที่ควรจะเป็นได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับแรงสนับสนุนในหลายด้านจากฟากฝั่งผู้บริหารประเทศด้วย นั่นก็คือ รัฐบาลนั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี