nn ยังคงเป็นประเด็นร้อนเป็น Talk of the Town...กับเส้นทางการแก้ปัญหาหนี้ท่วมของกรุงเทพมหานคร (กทม.)ที่ค้างจ่ายค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย และค่าก่อสร้างระบบ มูลหนี้รวมกว่า 120,000 ล้าน แลกกับการขยายเวลาสัมปทานออกไปอีก 30 ปี...ที่ยังคงหาข้อยุติไม่ได้...จนล่าสุดได้ถูกบริษัทเอกชนคู่สัญญา(บีทีเอส) ประเดิมฟ้องศาลปกครองไปแล้วกว่า12,000 ล้านบาท และเตรียมจะฟ้องตามมาอีกกว่า 20,000 ล้าน..!! ทั้งที่ตั้งแท่นที่จะแก้ปัญหาผ่าทางตันมาตั้งแต่ปี 2562 ในยุคของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จนมาถึง ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2564...ในการประชุมคณะรัฐมนตรี..กระทรวงมหาดไทย (มท.) จะพยายามนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาต่อที่ประชุม ครม.แต่ก็ต้องถอนเรื่องออกอีก...เพราะยังมีแรงคัดค้านจากกระทรวงคมนาคม...!! ไม่เพียงกระทรวงคมนาคมที่ออกโรงคัดค้านการต่อขยายสัมปทานบีทีเอส...แต่ยังมีนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ออกมาแถลงคัดค้านการต่อขยายสัมปทาน รถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ว่านี้ไปด้วย
โดยนายยุทธพงศ์ได้ตั้งข้อสังเกตต่อการที่ กทม. ได้ว่าจ้าง บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) เพื่อไปว่าจ้าง “บีทีเอส” มาเดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย 2 สายทางไปจนถึงปี 2585 รวมทั้งที่จะต่อขยายสัญญาสัมปทานให้บีทีเอส ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะ กทม.ยังไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินโครงข่ายรถไฟฟ้า ส่วนต่อขยายที่รับโอนมาจากการถไฟฟ้าขนส่งมวลชนฯ (รฟม.) พร้อมตั้งข้อสงสัย เหตุใดไม่เปิดกว้างให้มีการแข่งขัน...น่าแปลก! ที่ท่าทีและความเคลื่อนไหวของรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยข้างต้น ดูจะสอดรับกับจุดยืนของกระทรวงคมนาคม... ทั้งที่ก่อนหน้านี้...พรรคเพื่อไทย (พท.) เคยเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรมว.คมนาคม...งงในงง...ทำอะไรกันอยู่หรือ???
บังเอิญ...หมุนตามทุน...มีโอกาสได้พูดคุยกับแหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) ท่านหนึ่ง...ซึ่งก็ได้ให้ความเห็นต่อท่าทีของรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยข้างต้นว่า อยากให้นายยุทธพงศ์ ย้อนกลับไปตรวจสอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย (หัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ) ที่กระทรวงคมนาคม ให้สัมปทานกับ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าใต้ดิน สายสีน้ำเงินเดิม ให้เป็นผู้รับสัมปทานเดินรถไปในช่วง 3-4 ปีก่อน... เหตุใด และทำไมกระทรวงคมนาคม และ รฟม. ถึงได้เลือกวิธียกสัมปทานให้กับผู้รับสัมปทานรายเดิมทั้งที่ก่อนหน้าคณะรัฐมนตรี (ครม.)เมื่อปี’53 มีมติจะให้เปิดประมูลหาเอกชนเข้ามารับสัมปทานเดินรถไฟฟ้า แต่เหตุใดกระทรวงคมนาคมจึงไม่เปิดประมูล เปิดให้มีการแข่งขันอย่างที่กำลังแนะนำ กทม.อยู่เวลานี้ ????
ย้อนกลับมาที่ “สายสีเขียว” หาก กทม.(หรือรฟม.)เลือกใช้วิธีเปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย หรือสีน้ำเงินส่วนต่อขยายอย่างที่ท่าน สส.ผู้ทรงเกียรตินำเสนอนี้ ก็ลองนึกสภาพกันดูว่า หากผู้ชนะประมูลรับสัมปทานเดินรถไฟฟ้า ส่วนต่อขยาย ไม่ใช่รายที่ให้บริการสายหลักเดิม แต่เป็นคนละกลุ่มคนละระบบจะเกิดอะไรขึ้น? การเดินทางของผู้โดยสารจะเป็นอย่างไร?..ตัวอย่างง่ายๆ...หากผู้ให้บริการเดินรถเป็นคนละราย คนละระบบกัน ใช้ตั๋วโดยสารคนละชนิดกัน บีทีเอสใช้บัตรพลาสติก ส่วน BEM ใช้เหรียญ และ 2 ขบวนที่ว่านี้แม้วิ่งบนรางเดียวกันแต่ไม่ได้เชื่อมต่อกันเพราะคนละระบบ ใช้ศูนย์ควบคุมรถคนละระบบกันมันจะเป็นอย่างไร?...เราคงได้เห็นภาพผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟฟ้าจากสถานีต้นทาง (เคหะสมุทรปราการ) เมื่อมาถึงสถานีแบริ่ง ก็ต้องลงจากรถไฟฟ้าเพื่อเปลี่ยนขบวน ต้องซื้อตั๋วโดยสารใหม่ จ่ายค่าแรกเข้ากันใหม่ และเมื่อไปถึงสถานีพหลโยธิน เพื่อต่อขบวนไปยังสถานีเกษตร-คปอ.หรือสถานีคูคต ก็ต้องเปลี่ยนขบวน ลงไปซื้อตั๋วกันใหม่อีก...วุ่นวายไหม?????
“จะหวังพึ่ง “ระบบตั๋วร่วม” ที่กระทรวงคมนาคมตีปี๊บจะดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2555 ป่านนี้คืบหน้าไปถึงไหน? “ทั่นยุทธพงศ์” ไม่ลองตั้งกระทู้สอบถาม รมต.ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ดูบ้าง จะได้รู้ว่า สมควรที่จะนำเสนอ Modelเดินรถไฟฟ้า สายเดียวกัน แต่เปิดกว้างให้มีการประมูลและสัมปทานคนละระบบกันหรือไม่”
กับหนทางผ่าทางตันสัมปทานรถไฟฟ้า สายสีเขียว ที่เหมาะสมนั้น ก่อนหน้านี้ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบขนส่งมวลชน ได้นำเสนอทางออก 3 แนวทางที่เป็นไปได้มากที่สุด ได้แก่ทางเลือกที่ 1: เปิดประมูลหาผู้รับสัมปทานใหม่ในปี 2572แต่ทางเลือกนี้จะต้อง “รอ” จนกว่าสัญญาสัมปทานระหว่าง กทม.กับ BTS จะสิ้นสุดลงในปี 2572 โดยการเปิดประมูลใหม่จะต้องให้ผู้รับสัมปทานรับผิดชอบการเดินรถและบำรุงรักษาทั้งส่วนหลัก และส่วนขยาย แต่หนทางในอันที่จะเปิดประมูลใหม่ได้นั้น รัฐบาลจะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ควบคู่ไปด้วยคือ 1.ต้องชำระหนี้ให้ BTS ถึงวันนี้เป็นเงินประมาณ 37,000 ล้านบาทเป็นค่าเงินต้นและดอกเบี้ยงานระบบไฟฟ้า และหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้า ส่วนต่อขยายค้างจ่าย อีกทั้งยังต้องเตรียมเงินไว้เป็นค่าจ้างเดินรถไปจนถึงปี 2572 ทั้งค่าดอกเบี้ยงานโยธา และค่าชดเชยกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท(BTSGIF) อีกประมาณ 93,000 ล้านบาทรวมเป็นเงินทั้งหมดประมาณ 130,000 ล้านบาท
2.รัฐบาลต้องแก้ปัญหาข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นระหว่างกทม.กับ BTS เนื่องจาก กทม. ได้ทำสัญญาจ้างให้ BTS เดินรถและบำรุงรักษาทั้งส่วนหลักและส่วนขยายไปจนถึงปี 2585 ดังนั้นการจะเปิดประมูลหาผู้รับสัมปทานใหม่ในปี 2572 ก่อนสิ้นสุดสัญญาจ้างอาจทำให้ BTS ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก กทม.ตามมาซึ่งทางเลือกที่ 2: เปิดประมูลหาผู้รับสัมปทานใหม่ในปี 2585 แม้ทางเลือกนี้จะไม่เกิดข้อพิพาทระหว่าง กทม. กับ BTS เนื่องจากต้องรอจนกว่าสัญญาจ้างให้ BTS เดินรถสิ้นสุดลง จึงจะเปิดประมูลหาผู้รับสัมปทานใหม่ แต่รัฐบาลก็ต้องหาเม็ดเงินมาชำระหนี้ให้ BTS อยู่ดีและยังต้องเตรียมเงินไว้เป็นค่าจ้างเดินรถตั้งแต่เวลานี้จนถึงปี 2585 รวมทั้งค่าเงินต้นและดอกเบี้ยงานโยธาถึงปี 2585 และค่าชดเชยกองทุนรวม BTSGIF อีกกว่า 350,000 ล้านบาท
ส่วนทางเลือกที่ 3 : คือขยายสัมปทานให้ BTS 30 ปี อันเป็นแนวทางที่เป็นผลจากการเจรจาของคณะกรรมการที่กระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งตามคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยคณะกรรมการฯ ได้มีมติให้ขยายสัมปทานให้ BTS เป็นเวลา 30 ปีตั้งแต่ปี 2572-2602 โดยมีเงื่อนไข BTS ต้องรับผิดชอบภาระหนี้ทั้งหมดของ กทม. (ประมาณ 130,000 ล้านบาท) และยังต้องแบ่งรายได้ให้ กทม.อีกกว่า 2 แสนล้านบาท และหาก BTS ได้ผลตอบแทนการลงทุนเกิน 9.6% จะต้องแบ่งรายได้ให้ กทม. เพิ่มเติมอีกตามอัตราที่กำหนดในสัญญา
หากยังไม่ 1 ใน 3 หนทางนี้...ลองช่วยกันคิดสิว่าจะมีทางเลือกใด...ที่จะไม่ทำให้รัฐ และ กทม.ต้องเสี่ยงที่จะ “เสียค่าโง่”
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี