** แม้ว่าตัวเลขการส่งออกในเดือนตุลาคมยังขยายตัวได้ถึง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ไม่อาจคาดหวังได้ว่าจะเป็นแรงผลักดันเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในระดับเดียวกันกับที่ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ได้ภายใน 1-2 ปีข้างหน้านี้ เพราะหากวิเคราะห์ทิศทางของการส่งออกไทยในระยะถัดไปก็พบว่า การส่งออกไทยยังมีความเสี่ยงหลายประการที่ต้องติดตาม เช่น 1.อัตราเงินเฟ้อที่อาจปรับเพิ่มขึ้นหรือยืดเยื้อจากปัญหาคอขวดด้านอุปทาน 2.การเริ่มกลับมาระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ในยุโรป 3.การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจากผลกระทบของวิกฤตพลังงานและภาคอสังหาริมทรัพย์ 4.ค่าระวางเรือที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับที่สูงกว่าก่อนเกิดวิกฤต5.ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิพ) ที่คาดว่าจะยังคงลากยาวต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ฯลฯ
ส่วนภาคการท่องเที่ยวแม้ว่าไทยจะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความจะมีปริมาณนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก(30-40 ล้านคน/ปี) เหมือนช่วงที่ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากตลาดนักท่องเที่ยวสำคัญของไทยอย่างเช่นยุโรป ก็พบการระบาดระลอกใหม่อีกครั้ง ขณะที่ จีน ซึ่งเป็นตลาดท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดนอกจากจะมีปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวแล้ว ก็ยังพบการระบาดของโควิด-19 อยู่เช่นกัน อีกทั้งนโยบายของรัฐบาลจีนในขณะนี้ก็เน้นส่งเสริมให้คนจีนเที่ยวกันเองในประเทศ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจจากภายใน
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำขณะนี้คือต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้เร็วที่สุด เพราะตลอดระยะเวลา 2 ปี ที่เกิดการระบาดของโควิด-19นอกจากจะสร้างปัญหาทางเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งสัญญาณถึงปัญหาทางสังคมที่กำลังรุนแรงขึ้น ซึ่งจากข้อมูลล่าสุด (ณ ไตรมาส 3 ของปี 2564) ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) พบว่าภาพรวมตลาดแรงงานได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด ที่มีความเข้มงวดส่งผลให้ผู้ว่างงานและอัตราการว่างงานสูงที่สุด
โดยปัจจุบันผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 37.7 ล้านคน ลดลง 0.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการจ้างงานภาคเกษตรกรรมยังคงขยายตัวได้ ซึ่งมีการจ้างงาน 12.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1% เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มฤดูการเพาะปลูกข้าว ขณะที่การจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมลดลง 1.3% โดยสาขาที่มีการจ้างงานลดลงมาก ได้แก่ สาขาก่อสร้าง ลดลง 7.3% สาขาโรงแรม/ภัตตาคาร ที่ลดลง 9.3 ตามลำดับ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของมาตรการควบคุมการเปิดปิดสถานประกอบการ ทั้งการปิดแคมป์คนงาน และจำกัดการขายอาหาร ฯลฯ
นอกจากนี้ อัตราการว่างงานที่พบว่าเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่มีการระบาดของโควิด โดยมีผู้ว่างงาน 870,000 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานที่ 2.25% อีกทั้งยังพบว่า ผู้ที่มีการศึกษาระดับอุดมศึกษามีอัตราการว่างงานสูงสุดคือ 3.63% รองลงมาเป็นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) 3.16% ซึ่งผู้ว่างงานส่วนใหญ่จบในสาขาทั่วไป (บริหารธุรกิจการตลาด) จึงมีแนวโน้มประสบปัญหาการว่างงานยาวนานขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้อย่างจำกัด และคนกลุ่มนี้ที่มีทักษะไม่ต่างกันจึงหางานได้ยากขึ้น ส่วนแรงงานที่มีอายุ 15-19 ปี มีอัตราการว่างงานสูงสุด คือ 9.74% รองลงมาเป็นอายุ 20-24 ปีที่ 8.35% สะท้อนว่าการระบาดของโควิด-19ส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้ผู้ประกอบการที่เคยชะลอการเลิกจ้างบางส่วนไม่สามารถรับภาระต่อได้ และจำเป็นต้องเลิกจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น
อีกประเด็นปัญหาทางสังคมที่สำคัญคือ เรื่องของหนี้สินครัวเรือนขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยตัวเลขล่าสุด ณ ไตรมาส 2 ปี 2564 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 14.27 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จาก 4.7%ในไตรมาส 1 หรือคิดเป็นสัดส่วน 89.3% ต่อ GDPและสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด ขณะเดียวกันด้านคุณภาพสินเชื่อยังต้องเฝ้าระวังหนี้บัตรเครดิตที่มีหนี้เสียเพิ่มขึ้น แม้ว่าสัดส่วน NPLs ของสินเชื่อเพื่ออุปโภค-บริโภคต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.92% และยังทรงตัว เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่สัดส่วน NPLs ของสินเชื่อบัตรเครดิตต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกันจาก 3.04% ในไตรมาสก่อนมาเป็น 3.51% รวมถึงลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เสียจากบัตรเครดิต 1 ใน 3 เป็นผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี
นอกจากนี้หนี้สินครัวเรือนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุจาก 1. ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่สามารถขยายตัวได้ในระดับปกติ ทำให้รายได้ภาคครัวเรือนยังคงลดลง ซึ่งจะกระทบต่อสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน 2. ผลกระทบของอุทกภัยทำให้ครัวเรือนต้องก่อหนี้เพื่อนำมาซ่อมแซมบ้านเรือนและเครื่องใช้ที่ได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการก่อหนี้เพื่อการอุปโภค-บริโภค
ดังนั้นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญต่อจากนี้ในประเด็นของหนี้ครัวเรือนนั้น คือ 1. หนี้เสียโดยเฉพาะบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งหากลูกหนี้ผิดนัดชำระจะต้องเสียดอกเบี้ยปรับในอัตราที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหนี้ประเภทอื่น 2. การส่งเสริมให้ลูกหนี้เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ จากปัจจุบันที่หนี้เสียของครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงแม้ว่าจะมีการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิดจากการไม่รับรู้ถึงมาตรการช่วยเหลือ จึงควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ลูกหนี้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระและเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ และ 3. การก่อหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น จากข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนในรอบครึ่งปี 2564 พบว่า มีมูลค่าหนี้นอกระบบรวม 8.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีเพียง 5.6 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 1.5 เท่าจากปี 2562
สรุปว่าสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการโดยเร่งด่วนคือ ทำให้คนไทยมีงานทำมากขึ้นและกลับมามีรายได้เพิ่มขึ้น ให้เท่ากับก่อนที่เกิดการระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะแรงงานในภาคบริการ ซึ่งมีอัตราการจ้างงานมากที่สุด รวมทั้งกระตุ้นให้กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงมีเงินเก็บออมในระดับสูงออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นรวมทั้งการเร่งดึงเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยสร้างแรงจูงใจให้มากกว่านี้ ฯลฯ เพราะหากรัฐบาลไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศได้ภายในเร็ววันนี้ ปัญหาสังคมและอาชญากรรมจะทวีความรุนแรงขึ้นจนยากจะแก้ไข
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี