nn โครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ใหม่ได้มีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ดังนี้ 1) เก็บภาษีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 1.2 บาทต่อมวน เป็น 1.25 บาทต่อมวน สำหรับบุหรี่ ทุกราคา 2) ปรับขึ้นภาษีมูลค่าสำหรับบุหรี่ราคาไม่เกิน 72 บาท จากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 25และสำหรับบุหรี่ราคาเกิน 72 บาท จากร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 42 โดยปรับขึ้นจุดตัดราคาสำหรับแบ่งแยกอัตราภาษีมูลค่าของบุหรี่จาก 60 บาทเป็น 72 บาท บทความนี้จึงขอให้ความเห็นต่อแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่โดยอ้างอิงข้อมูลจากหนังสือของกระทรวงการคลังที่นำเสนอนโยบายการปรับโครงสร้างภาษียาสูบต่อคณะรัฐมนตรี และมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ต่อการพิจารณากำหนดนโยบายภาษีสรรพสามิตยาสูบในระยะต่อไป
ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผู้ประกอบการบุหรี่ ได้ทยอยปรับราคาบุหรี่ใหม่ให้สอดคล้องกับภาระบุหรี่ที่เพิ่มขึ้น โดยบุหรี่ขายดีที่สุดในตลาด (Most sold brand) ที่ใช้เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของระบบภาษียาสูบ ปรับราคาเพิ่มขึ้นจาก 60 บาท เป็น 66 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และมีผลให้ภาระภาษีต่อซองเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ร้อยละ 79 ของราคาขาย สูงเป็นอันดับที่ 23ของโลก เป็นร้อยละ 81 สูงเป็นอันดับที่ 14 ของโลก ทั้งนี้ ภาระภาษีที่สูงขึ้นอาจช่วยสนับสนุนรายได้ภาษียาสูบและนโยบายด้านสุขภาพได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะมีการหันไปสูบสินค้าทดแทนที่ยังมีราคาถูกเพิ่มขึ้น เช่น ยาเส้น ตามมา ดังเช่นที่การบริโภคยาเส้นเพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว หลังมีการปรับขึ้นราคาบุหรี่ในปี 2560
การประเมินโครงสร้างภาษียาสูบใหม่ตามมาตรการการเก็บภาษีที่ดีในต่างประเทศ (Best practices) สามารถสรุปได้ ดังนี้
1.โครงสร้างภาษีบุหรี่ : การปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ ครั้งนี้ไม่ได้เป็นการปรับโครงสร้าง แต่เป็นการปรับขึ้นภาษีภายใต้โครงสร้างเดิมที่มีปัญหา โดยการตัดสินใจคงโครงสร้างภาษีบุหรี่มูลค่า 2 อัตราไว้ก็เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมยาสูบ ในขณะที่ใช้การปรับขึ้นภาระภาษีเพื่อลดแรงต่อต้านจากฝ่ายรณรงค์ไม่สูบบุหรี่จากการที่ไม่ปรับไปใช้ภาษีอัตราเดียวตามที่เดิมกำหนดไว้ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวคิดเดิมที่กรมสรรพสามิตใช้มาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ตามที่ตั้งใจไว้ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาได้
ผมกลับมีความเห็นตรงกันข้ามกับแนวคิดดังกล่าว โดยเพื่อให้ระบบภาษียาสูบเป็นไปตามหลักสากลรัฐควรพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ให้เป็นอัตราเดียวให้สอดคล้องตามหลักสากล และกำหนดอัตราภาษีในระดับที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ โดยหากมีรากฐานของโครงสร้างภาษีที่ดีแล้ว การปรับขึ้นอัตราภาษีในระยะต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามหลักสุขภาพที่ดีก็จะเป็นไปได้ไม่ยากและจะมีประสิทธิภาพต่อนโยบายสาธารณสุขมากกว่าการใช้โครงสร้างบุหรี่ 2 อัตราในปัจจุบัน
2. อัตราภาษี : รัฐได้ปรับขึ้นอัตราภาษีบุหรี่ทั้งอัตรามูลค่าและปริมาณ จนทำให้สัดส่วนภาษีปริมาณของบุหรี่ขายดีที่สุดในตลาดลดลงจากร้อยละ 55 เหลือเพียงร้อยละ 50 ซึ่งสวนทางกับแนวทางการเก็บภาษีบุหรี่ที่ดีที่องค์กรระหว่างประเทศได้แนะนำให้ประเทศต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกับอัตราภาษีปริมาณมากกว่าภาษีมูลค่า เพราะช่วยให้ประสิทธิภาพของมาตรการภาษียาสูบไม่ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ทางด้านราคาของผู้ประกอบการบุหรี่ ดังเช่นที่ได้เกิดขึ้นในปี 2560 ที่บุหรี่ต่างประเทศบางยี่ห้อลดราคาลงมาอยู่ในกลุ่มบุหรี่ตลาดล่างเพื่อเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า และในปี 2564ที่เพิ่งเกิดขึ้นโดยการยาสูบฯ มีการปรับเพิ่มราคาในสัดส่วนที่น้อยกว่าภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้แข่งขันกับบุหรี่ต่างประเทศได้ดีขึ้น
3.ภาษียาเส้น : การที่บุหรี่ขายดีที่สุดในตลาดต้องปรับราคาขึ้นถึงร้อยละ 10 ถือเป็นโอกาสที่ดีในการปรับขึ้นภาษียาเส้นที่เป็นสินค้าทดแทนบุหรี่แต่ยังมีราคาถูกกว่ามาก อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังกลับเสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบกำหนดอัตราภาษียาเส้นให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยเป็นการถาวร โดยไม่ต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นประจำทุกปีตามเดิม เนื่องจากต้องการส่งเสริมภูมิปัญญาชาวบ้าน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจุดบอดของนโยบายภาษียาสูบไทยที่ไม่ได้คำนึงว่ายาเส้นก็มีอันตรายไม่แพ้บุหรี่ ทำให้ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา มีการขึ้นภาษียาเส้นเพียง 2 ครั้ง ในขณะที่มีการขึ้นภาษีบุหรี่เกือบ 20 ครั้ง ทั้งนี้ หากรัฐยังคงไม่ให้ความสำคัญกับการปรับขึ้นภาษียาเส้นอย่างจริงจัง มาตรการภาษียาสูบคงยากที่บรรลุวัตถุประสงค์ทั้งด้านรายได้และสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อนึ่ง การปรับโครงสร้างภาษียาสูบครั้งนี้ไม่น่าจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมยาสูบ เนื่องจากยังเลือกใช้โครงสร้างภาษีมูลค่า 2 อัตรา และเพิ่มอัตราภาษีของบุหรี่ในกลุ่มตลาดบน น่าจะเป็นการเร่งให้ผู้ประกอบการ ทุกรายลงมาแข่งขันราคากันในกลุ่มตลาดล่าง ทำให้การแข่งขันราคาในตลาดกลุ่มล่างยังคงมีความรุนแรง ประกอบกับภาระภาษีในกลุ่มตลาดล่างอยู่ในระดับที่สูงมาก จึงน่าจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของการยาสูบฯ ตามมา ดังเห็นได้จากการที่การยาสูบฯ ตัดสินใจลดกำไรต่อซองลง โดยปรับราคาของบุหรี่ที่ขายดีเพียง 6 บาท แทนที่จะต้องปรับขึ้นไปเป็น 8 บาท เพื่อให้อย่างน้อยได้กำไรต่อซองเท่าเดิมภายใต้ภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น
ความท้าทายที่เกิดขึ้นกับการปรับโครงสร้างภาษียาสูบคือ การหาความสมดุลในด้านรายได้สุขภาพ และอุตสาหกรรมยาสูบ โดยเฉพาะในเรื่องของยอดขายของการยาสูบฯ ซึ่งจะมีผลต่อปริมาณการรับซื้อใบยาสูบจากเกษตรชาวไร่ยาสูบตามมา ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่รัฐยังคงเลือกใช้โครงสร้างภาษีมูลค่าแบบ 2 อัตราต่อไป โดยหากรัฐยังคงใช้แนวคิดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ โครงสร้างภาษียาสูบคงมีพัฒนาการไปในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกับตัวอย่างที่ดีและมีประสิทธิภาพในต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อนโยบายการควบคุมการบริโภคยาสูบในภาพรวมของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความท้าทายดังกล่าวเป็นเรื่องปกติที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลายประเทศ ไม่ใช่บริบทเฉพาะของประเทศไทย ซึ่งประสบการณ์จากต่างประเทศชี้ให้เห็นว่า รัฐไม่สามารถที่จะใช้นโยบายภาษีมาแทรกแซงกลไกตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและตลอดไป ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือ การนำบทเรียนที่ได้จากมาตรฐานการเก็บภาษีที่ดีในต่างประเทศ (Best practices) มาประยุกต์ใช้กับประเทศไทยอย่างเหมาะสมและเป็นไปตามหลักวิชาการ เพื่อช่วยให้ระบบภาษีไทยมีความสมดุลในทั้ง 3 ด้านที่กล่าวมาข้างต้น
ในระยะต่อไป รัฐควรรวมอัตราภาษีมูลค่าให้เป็นอัตราเดียวให้ได้ และมีการกำหนดอัตราภาษีในระดับที่เหมาะสม เช่น ไม่เกินร้อยละ 25 ของราคาขาย เพื่อไม่ให้สัดส่วนภาษีปริมาณลดลงเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของบุหรี่ขายดีที่สุดในตลาดแต่ใช้การปรับเพิ่มภาษีปริมาณเพื่อเพิ่มภาระภาษีของบุหรี่ทุกราคาในอัตราการเพิ่มขึ้นที่สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงเวลานั้น เพื่อให้นโยบายการควบคุมการบริโภคยาสูบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การกำหนดภาษีตามมูลค่าอัตราเดียวน่าจะช่วยเพิ่มความหลากหลายด้านราคาของบุหรี่ ลดการแข่งขันราคาของบุหรี่ในตลาดล่าง และช่วยให้การยาสูบแห่งประเทศไทยและเกษตรกรยาสูบสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนด้วย
** ศาสตราจารย์ ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันต์
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี