เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด จำนวน 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 และพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2564
ตามมาตรา 4 แห่งพ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฯ ได้กำหนดว่า เมื่อประกาศใช้ พ.ร.บ. ให้ยกเลิกกฎหมายยาเสพติดจำนวน 24 ฉบับ เช่น พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519 พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 พ.ร.บ.ป้องกันการใช้สารระเหย พ.ศ. 2533 พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2535 พ.ร.บ. ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 ประกาศ/คำสั่งคสช. อื่น ที่เกี่ยวข้อง
เหตุผลสำคัญสำหรับการประกาศใช้ พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฯ เพราะกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกัน ปราบปราม ควบคุมยาเสพติด รวมถึงการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดได้กระจายอยู่ในกฎหมายหลายฉบับ แต่ละฉบับมีหลายองค์กร ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่มีความสอดคล้องกัน บางฉบับไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน จึงจำเป็นที่จะต้องรวบรวมอยู่ในฉบับเดียวกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดประโยชน์ ในการอ้างอิงและใช้กฎหมาย
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้น ต้องมีการกำหนดระบบอนุญาต เพื่อให้การควบคุมและการใช้ประโยชน์ยาเสพติดในทางการแพทย์ ทางวิทยาศาสตร์ และทางอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพ อันเป็นการป้องกันการแพร่กระจายยาเสพติดและการใช้ยาเสพติดในทางที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งจะนำไปสู่การเสพติดยาเสพติด อันเป็นการบั่นทอนสุขภาพของประชาชนยิ่งหากยาเสพติดแพร่กระจายไปยังกลุ่มเยาวชน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ย่อมทำให้เกิดปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรม
ประมวลกฎหมายฉบับนี้จะแบ่งเป็น 3 ภาค ภาค 1 การป้องกัน ปราบปราม และควบคุมยาเสพติดมีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)เป็นกลไกหลักด้านนโยบาย คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดรับผิดชอบด้านการควบคุมยาเสพติด มีการแบ่งยาเสพติดออกเป็น 3 ประเภท ประเภทแรก คือยาเสพติดให้โทษ ประเภทสอง คือ วัตถุออกฤทธิ์ และประเภทที่สาม คือ สารระเหย ด้านการควบคุมที่ถือว่าเป็นมิติใหม่ เพราะมีการควบคุมพื้นที่พิเศษ เพื่อทดลองหรือทดสอบเกี่ยวกับการปลูกพืช ที่เป็นยาเสพติดเพื่อการศึกษาวิจัย ลดอันตรายจากการใช้ ที่จะเป็นการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ ยังได้กำหนดทิศทางใหม่เกี่ยวกับการตรวจสอบ ริบทรัพย์สิน และการทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติด มีการขยายอำนาจการดำเนินการต่อทรัพย์สินตามแนวทางการริบทรัพย์สินตามมูลค่า โดยการคำนวณรายได้หรือมูลค่าจากการค้ายาเสพติดของผู้ต้องหา และให้ศาลสั่งริบมูลค่าของทรัพย์สินที่ได้จากการค้ายาเสพติดนั้น ศาลมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินอื่นทดแทนทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิด เช่น มาตรการตรวจสอบทรัพย์สิน ม.73 ตอนหนึ่ง ระบุถึง “ทรัพย์สิน” ว่าให้หมายรวมถึงทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทําความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดของผู้ต้องหา ที่ได้ขายจําหน่าย โอน หรือยักย้ายไปเสียในระหว่างระยะเวลา 10 ปี ก่อนมีคําสั่งยึดหรืออายัด และภายหลังนั้นได้ด้วยซึ่งจะทำให้การยึดและอายัดครอบคลุมมากขึ้น
ตามกฎหมายยาเสพติดเดิม เมื่อมีการจับกุมผู้ต้องสงสัยที่มีชื่อบัญชีธนาคารผูกกับโทรศัพท์มือถือ ผู้ต้องหาจะอ้างว่ารับจ้างเปิดบัญชีเท่านั้น แต่ตามกฎหมายใหม่ม.119 ผู้ใดเอาหลักฐานข้อมูลส่วนตัวไปให้ผู้อื่นเปิดบัญชีให้จะถือว่ามีความผิดหมด มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากสืบสวนพบว่า มีส่วนรู้เห็นเป็นใจสมคบการกระทำความผิดโดยการแบ่งหน้าที่กันทำงาน จะมีอัตราโทษหนักขึ้น นับได้ว่าเป็นเรื่องดี ประชาชนจะได้มีความระมัดระวังมากขึ้น ไม่ไปเที่ยวเปิดบัญชีให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้า
กฎหมายฉบับใหม่ยังเน้นเอาผิดตัวการ จึงมีการนำพฤติการณ์กระทำผิดมาพิจารณาอัตราโทษแทนการใช้บทสันนิษฐาน ทำให้บางฐานความผิดจะกำหนดโทษลดลง “เป็นคุณ” ต่อผู้กระทำ กรณีคดีที่ถึงที่สุดผู้ต้องขังที่มีโทษหนักกว่าโทษตามกฎหมายฉบับใหม่สามารถยื่นคําร้องต่อศาล เพื่อขอให้ศาลพิจารณากำหนดโทษใหม่ได้ ผู้ต้องขังส่วนหนึ่งจึงเข้าข่ายได้รับประโยชน์ ถูกปล่อยตัวพ้นโทษ หรือ บางส่วนสามารถยื่นคำร้องขอกำหนดโทษใหม่ได้
จากข้อมูลกรมราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2564 มีผู้ต้องขังทั่วประเทศ จํานวน 282,620 คน เป็นคดียาเสพติด จํานวน 231,362 คน ในจํานวนนี้เป็นนักโทษเด็ดขาดที่คดีถึงที่สุดแล้ว 167,442 คน ไม่เพียงแต่ผู้ต้องหาส่วนหนึ่งได้รับคุณจากกฎหมายฉบับใหม่ ยังส่งผลค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ต้องขังลดลง การใช้งบประมาณของกรมราชทัณฑ์ในการจัดการดูแลในปีพ.ศ. 2564 ประมาณ 14,195 ล้านบาท และงบประมาณของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ประมาณ 3,128 ล้านบาท
ภาค 2 การบำบัดรักษาและการฟื้นฟูสภาพทางสังคมแก่ผู้ติดยาเสพติด มีศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมที่ติดตามดูแล ให้คำปรึกษา ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เข้ารับการบำบัด ให้โอกาสกลับตัว ผู้เสพหรือครอบครองในจำนวนเล็กน้อย (ตามกฎกระทรวงกำหนด) สามารถสมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษาได้โดยไม่ต้องถูกดำเนินคดี มีศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมที่ติดตามดูแลให้คำปรึกษา ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เข้ารับการบำบัด ให้ได้รับสวัสดิการทางสังคม สนับสนุนที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว
ภาค 3 บทกำหนดโทษ ได้ปรับนโยบายทางอาญาบทลงโทษได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ในการกระทำความผิดมากขึ้น เช่น กรณีการผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย มีไว้ในครอบครอง หรือนําผ่านซึ่งยาเสพติดให้โทษ และวัตถุออกฤทธิ์ กรณียาเสพติดประเภท 1 (ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรง) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท กรณีการลงโทษการพยายามกระทำในความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ให้ระวางเท่ากับความผิดสำเร็จ
อัตราโทษจะไล่ระดับหนักขึ้นตามพฤติการณ์กระทำโทษสูงสุดถึง“ประหารชีวิต” หากเป็นการกระทำในลักษณะหัวหน้า ผู้มีสั่งการ หรือผู้มีหน้าที่จัดการในเครือข่ายอาชญากรรมมีการใช้มาตรการลงโทษอย่างเด็ดขาด และยึดทรัพย์สิน
เมื่อมีการรวบรวมเป็นประมวลกฎหมายยาเสพติดที่เห็นได้ชัด คือ จำนวนของผู้ต้องขังคดียาเสพติดจะลดลง แต่สำหรับผู้กระทำผิดจะเป็นเช่นไร คงต้องขึ้นอยู่กับผู้บังคับใช้กฎหมายด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี