nn ต้องยอมรับว่า 2 ปีมานี้ภาคการส่งออกของไทยคือเครื่องยนต์สำคัญเพียงตัวเดียวที่ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยในภาวะที่ต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19...ซึ่งจากการประเมินตัวเลขเบื้องต้นในการประชุมร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน ด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) ครั้งสุดท้ายของปี 2564....คาดว่าตัวเลขการส่งออกของ 2564 จะขยายตัวได้ 16% คิดเป็นเงินตราเข้าประเทศประมาณ 8,585,600 ล้านบาท และหมวดสินค้าที่สำคัญ คือ 1.การเกษตร 2.เกษตรอุตสาหกรรม 3.อุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ปัจจัยหนุนสำคัญได้แก่ 1.การฟื้นตัวอย่าแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐ จีน สหภาพยุโรป และ ญี่ปุ่น สืบเนื่องจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ตามปกติ และดัชนีผู้จัดการฝ่ายการผลิตโลก (world PMI index)ที่คงตัวเหนือระดับ 50 อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการฟื้นตัวของกิจกรรมการผลิตสอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างแข็งแกร่ง และ 2.ราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวสูงกว่าปีที่แล้วอย่างต่อเนื่อง จากแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะยุโรปและสหรัฐฯ ที่เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ 3.ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง
ขณะที่ตัวเลขการส่งออกในปี 2565 กระทรวงพาณิชย์ คาดว่า ยอดการส่งออกจะยังขยายตัวเพิ่มขึ้น 3-4% คิดเป็นตัวเลขการส่งออกประมาณ 9 ล้านล้านบาท หรือ 2.8 แสนดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าปี 2564 ถึงกว่า 4 แสนล้านบาท โดยปัจจัยที่นำมาพิจารณา คือ เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ อัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมันดิบ ราคาสินค้าเกษตร ราคาวัตถุดิบเฉลี่ยของโลก สถานการณ์โควิด การขนส่ง ค่าระวางเรือ และทูตพาณิชย์จากทั่วโลก จัดทำตัวเลขประเมิน
สำหรับสินค้าที่มีแนวโน้มดี คือ 1.สินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ข้าว ผลไม้ กุ้ง น้ำตาลทรายอาหารสัตว์เลี้ยง 2.สินค้าเวิร์ก ฟรอมโฮม เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า 3.สินค้าเวชภัณฑ์ 4.วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าขั้นต่อไป เช่น เหล็ก เม็ดพลาสติก ยางรถยนต์
ส่วนปัจจัยที่สนับสนุนการส่งออกในปี 2565ให้มีอัตราขยายตัว คือ การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก OECD คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.5% การนำเข้าของประเทศคู่ค้า เช่น สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ปัจจัยค่าเงินบาทที่คาดว่าจะยังเอื้อต่อการส่งออกที่อัตรา 32-33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ, การผลิตตู้คอนเทนเนอร์เพื่อส่งออกสินค้าจากจีน, การเติบโตของธุรกิจด้านไอที, การแก้ไขสถานการณ์โควิด ซึ่งคาดว่าปีหน้าจะดีขึ้น และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค 15 ประเทศ หรือ “อาร์เซ็ป” ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ส่วนเรื่องรถไฟลาว-จีน มีการพูดคุยกันว่าจะเป็นอีกเส้นทางที่จะช่วยเพิ่มช่องทางการส่งออกสินค้าไทยไปยังลาวและจีน จึงเตรียมเรียกประชุมหน่วยงานราชการและภาคเอกชนทุกฝ่าย ช่วงเดือนมกราคมนี้ ที่ จ.หนองคาย เพื่อหาข้อสรุปว่า ในภาคการปฏิบัติจริงจะทำอย่างไรให้สินค้าไทยสามารถส่งออกโดยใช้เส้นทางดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงของการส่งออกในปี 2565 ซึ่งยังคงเป็นประเด็นใกล้เคียงกับปี 2564 คือ สถานการณ์ระบาดของโควิด การขาดแคลนแรงงานการขาดแคลนวัตถุดิบบางประเภท เช่นเซมิคอนดักเตอร์ และมาตรการหรือความเข้มข้นด้านสาธารณสุขของประเทศใดประเทศหนึ่ง เช่น บริเวณด่านพรมแดน
ขณะที่มุมมองของภาคเอกชนที่มีต่อการส่งออกในปี 2565 นั้น ในมุมมองของ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย มองว่าตัวเลขการส่งออกเติบโต เมื่อภาครัฐมีบทบาทสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกัน ค่าเงินบาทที่เคยสร้างความเจ็บปวดให้ผู้ส่งออก แต่ขณะนี้ค่าเงินบาทอยู่ที่ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์จะตั้งเป้าการส่งออกปี’65ไว้ที่ 3-4% แต่ กกร.เชื่อมั่นว่าจะทำให้ตัวเลขการส่งออกเติบโตได้ถึง 3-5% ส่วนปัญหาโควิดสายพันธุ์โอมิครอนนั้นขณะนี้มีสายพันธุ์ที่ร้ายแรงกว่าแล้วในอินเดีย ดังนั้น สุดท้ายการระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆจะกลายเป็นปัญหาปกติ ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังมีแผนจัดหาวัคซีนมาเพิ่มเติมอีกอย่างต่ำ 120 ล้านโดส จึงเป็นหลักประกันว่าจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้เพิ่มขึ้น พร้อมเผยว่า ล่าสุดนักลงทุนญี่ปุ่นที่ไปลงทุนในเวียดนาม เริ่มหันกลับมาไทย รวมถึงนักลงทุนจากจีนที่มาลงทุนในไทยมากขึ้น
ขณะที่ ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวถึงปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมว่า ข้อมูลแรงงานต่างด้าวที่มีอยู่ก่อนช่วงโควิด อยู่ที่2.95 ล้านคน แต่การสำรวจเมื่อ 2 เดือนที่แล้วเหลือเพียง 2.3 ล้านคน เท่ากับแรงงานที่หายไปจากระบบ คือ 6 แสนคน แต่เนื่องจากตัวเลขการส่งออกของไทยเติบโตขึ้นมากในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม จึงประเมินว่ายังขาดแคลนแรงงานอีกราว 2-4 แสนคน ดังนั้น สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือ ทำอย่างไรให้การนำเข้าแรงงานมีความสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม เช่นวันสต็อปเซอร์วิส เพื่อลดระยะเวลาการนำเข้าแรงงาน จากเดิมใช้เวลา 30-60 วัน
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี