งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 (มอเตอร์โชว์ 2022) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 มีนาคม-3 เมษายน พ.ศ. 2565 ที่ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี โดย ผู้จัด “มอเตอร์โชว์” เปิดเผยว่า กระแสรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถอีวี Electric Vehicle (EV) ที่มีการเปิดตัวมากกว่า 20 ยี่ห้อ และได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานเป็นอย่างมาก
รถยนต์ไฟฟ้าหรือ Electric Vehicle (EV) มีด้วยกันทั้งหมด 4 ประเภท คือ
(1) รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle, HEV) เป็นยานยนต์ไฟฟ้าแบบผสม มีทั้งการใช้เครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนทำงานร่วมกันซึ่งสามารถเปลี่ยนพลังงานจากการเบรกมาเป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บในแบตเตอรี่ และสามารถนำพลังงานออกมาใช้ได้ ข้อดี คือ มีเครื่องยนต์ที่เงียบกว่ารถทั่วไป ข้อเสีย คือ มีค่าบำรุงรักษาสูง และช่างต้องมีความชำนาญ
(2) รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle, PHEV) พัฒนาต่อยอดมาจากรถยนต์ไฮบริด PHEV ขับเคลื่อนด้วยพลังงานมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งทำงานร่วมกับเครื่องยนต์สันดาป สามารถเติมพลังงานไฟฟ้า โดยการเสียบปลั๊กไฟฟ้าจากไฟบ้านโดยตรง หรือสถานีชาร์จไฟมาเก็บที่เเบตเตอรี่ ข้อดี คือ วิ่งในระยะทางที่ไกลและเร็วขึ้น มีการปล่อยมลพิษน้อยลง ข้อเสีย คือ ค่าใช้จ่ายในการดูแลรถยนต์ค่อนข้างสูง เพราะต้องดูแลทั้ง 2 ระบบ
(3) รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle, FCEV) ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อน แหล่งพลังงานมาจากก๊าซไฮโดรเจน ที่จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศที่เซลล์เชื้อเพลิง ทำให้ได้พลังงานส่งกำลังให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าใช้ในการขับเคลื่อน ข้อดี คือ สามารถเติมไฮโดรเจน เหมือนกับการเติมก๊าซ NGV ที่ใช้เวลาในการเติมไม่นาน ข้อเสีย คือ หากเกิดการรั่วไหล จะติดไฟง่าย เพราะก๊าซไวไฟมาก
(4) รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle, BEV) ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว รถประเภทนี้จะมีแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่มากกว่ารถประเภทอื่นๆ สามารถวิ่งได้ในระยะทางราว 300-400 กม.ต่อการชาร์จเต็ม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาภายในรถยนต์ ข้อดี คือ ไม่ทำให้เกิดมลพิษในขณะขับเคลื่อน เนื่องจากไม่ปล่อยมลพิษเลย ข้อเสีย คือ แล่นไม่ได้ไกลเทียบกับรถยนต์ทั่วไป และต้องใช้เวลาในการชาร์จค่อนข้างนาน
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในงานจัดมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ จะเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV)
ย้อนไป วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560 คณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์นั่งที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ได้มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือ (บอร์ดอีวี)
การที่จะให้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก บอร์ดอีวีเล็งเห็นว่า ต้องมีการสร้างขนาดตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้ได้ก่อน ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าเป็นพลังงานสะอาดที่ไม่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม จึงต้องออกมาตรการสนับสนุน เพื่อให้คนในประเทศหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ทั่วโลกต่างสนับสนุนแนวโน้มของการรักษ์โลก บอร์ดอีวีตั้งเป้าไว้ว่า จะผลักดันให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าร้อยละ 30 ในปีพ.ศ. 2573 และในปีพ.ศ.2579 ประเทศไทยควรต้องมีรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้มากถึง 1.2 ล้านคัน
เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาสูง เมื่อเทียบกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป หรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ดังนั้น จึงต้องออกมาตรการช่วยให้ราคาจำหน่ายของรถยนต์ไฟฟ้าต่ำลง เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจ
เมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ครม.ได้ออกมาตรการทางภาษี คือ กรณีรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน (รถยนต์นั่ง) ประเภท BEV (รถไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่) ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท ให้ปรับลดอากรศุลกากรในปีพ.ศ. 2565-2566 ทั้งนี้ การนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปทั้งคันที่ได้รับสิทธิพิเศษทางอากรศุลกากรภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี กรณีมีอัตราอากรไม่เกินร้อยละ 40 ให้ได้รับการยกเว้นอากร ส่วนกรณีเกินร้อยละ 40 ให้ลดอัตราอาการลงอีกร้อยละ 40 ขณะที่การนำเข้าทั่วไป ให้ได้รับการลดอัตราอากร จาก ร้อยละ 80 เหลือร้อยละ 40 และปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่ง ประเภท BEV จากเดิม ร้อยละ 8เหลือร้อยละ 2 ในปีพ.ศ. 2565-2568
ส่วนมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ปีพ.ศ. 2565-2568 กรมสรรพสามิตจะมีเงินอุดหนุน 70,000 บาทต่อคัน สำหรับรถยนต์นั่งที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 10 กิโลวัตต์
ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 30 กิโลวัตต์ชั่วโมง และช่วยเงินอุดหนุน 150,000 บาทต่อคัน สำหรับรถยนต์นั่งที่มีขนาดแบตเตอรี่ ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป ครอบคลุมทั้งกรณีรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ (CKD) และการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปทั้งคัน (CBU)
ข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์นั่ง กรณีรถจักรยานยนต์ประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 150,000 บาทต่อคัน กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าร้อยละ 1สำหรับรถจักรยานยนต์ประเภท BEV ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่กรมสรรพสามิตประกาศกำหนด และให้เงินอุดหนุน 18,000 บาทต่อคัน สำหรับรถจักรยานยนต์ ประเภท BEV ครอบคลุมทั้งกรณีรถจักรยานยนต์ที่ผลิตในประเทศ (CKD) และการนำเข้ารถจักรยานยนต์สำเร็จรูปทั้งคัน (CBU)
มาตรการดังกล่าว ส่งผลต่อราคาของรถยนต์ไฟฟ้าทันทีทำให้รถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายบางยี่ห้อ โดยเฉพาะที่นำเข้าจากประเทศจีน ในบางรุ่น ราคาลดลง 100,000-200,000 บาท
แม้ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลงมาก แต่สิ่งสำคัญที่สุด ที่รัฐบาลและผู้ผลิตรถไฟฟ้าไม่ได้กล่าวถึงคือ เมื่อใช้รถไฟฟ้าไปแล้วระยะหนึ่ง แบตเตอรี่ย่อมเสื่อมไปโดยสภาพ การเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่อีกครั้งหนึ่ง จะมีราคาสูงมาก สำหรับรถไฟฟ้าบางยี่ห้อ การเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่อาจมีราคาสูงถึง 50% ของราคารถไฟฟ้าใหม่ หรืออาจสูงกว่านั้น จนทำให้ผู้ใช้มีความรู้สึกว่า ซื้อรถไฟฟ้าใหม่อีกคันคุ้มกว่าการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
หากรัฐบาลส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้าอย่างจริงจัง ควรคำนึงถึงปัญหาเรื่อง การเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่แล้วมีราคาแพงมากด้วย รวมถึงส่งเสริมให้มี สถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) สำหรับรถไฟฟ้าให้แพร่หลาย
เมื่อมีมาตรการ ส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้าให้ครอบคลุมทุกด้านอย่างจริงจัง คนไทยจะได้กล้าเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้ากัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี