** ต้องบอกอย่างนี้ว่า...อุตสาหกรรมเหล็กของไทยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกและยังถูกซ้ำเติมจากการบริหารจัดการของภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์อย่างหนักจริงๆ...ซึ่ง...หมุนตามทุน...จะมาขยายความให้ฟังว่าเหตุใดที่กล่าวเช่นนั้น...เพราะจากข้อมูลจากสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กไทย2 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.พ.) พบว่าปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็ก มีปริมาณ 2.54 ล้านตัน ลดลง 14.3% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยมีปริมาณนำเข้า 1.58 ล้านตัน ลดลง 12.3% ส่วนผู้ผลิตในประเทศมีการผลิต 1.17 ล้านตัน ลดลง 14.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564...ซึ่งจะเห็นได้ว่าการผลิตในประเทศได้รับผลกระทบมากกว่าการนำเข้า (ขีดเส้นใต้ไว้ตรงนี้)... ข้อมูลจากสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ยังพบว่าการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กไทยที่ปรับลดลงส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของผู้ประกอบการไทยปรับลดลงด้วยเหลือเพียง 29.9% จากระดับ 37% ในปี 2564 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ...เทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น เวียดนาม ไต้หวัน เกาหลีใต้ ที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตมากกว่า 50%
ดังนั้นถ้าจะช่วยผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมของไทย..รัฐบาลก็ต้องจริงใจที่จะให้การสนับสนุนการใช้สินค้าเหล็กในประเทศ โดยเฉพาะในงานโครงการภาครัฐ...ซึ่งจะช่วยให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในประเทศเป็นมูลค่ามหาศาล...ซึ่งว่ากันตามจริงแล้วนโยบาย “เมดอินไทยแลนด์” หรือ จะเรียกว่า“ไทยแลนด์ เฟิร์ตส” ก็แล้วแต่ รัฐบาลก็เคยประกาศนโยบายนี้มาแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ผลทางปฏิบัตินั้นก็ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมเท่าใดนัก...เพราะไปติดขัดตรงที่หน่วยงานปฏิบัติของรัฐ ในหลายกระทรวง หลายหน่วยงาน ที่ยังไม่ตอบสนองนโยบายนี้
คนในวงการเหล็กก็บ่นให้ฟังหลายครั้งที่ว่าหน่วยงานรัฐที่เป็นตัวทำลายอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ สร้างความลำบากให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศมากที่สุด...ก็คือกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ....นั่นเอง....ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่ากระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ พยายามเหลือเกินที่จะยุติมาตรการต่างๆ ที่มีไว้สำหรับการปกป้องเพื่ออุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ และดูเหมือนจะยินดีเหลือเกินที่เห็นสินค้านำเข้าทะลักเข้ามาทุบตลาดในประเทศ
อย่างกรณีล่าสุด...เหล็กลวดคาร์บอนต่ำเหล็กลวดคาร์บอนต่ำที่เจือธาตุอื่น เหล็กลวดคาร์บอนสำหรับงานย้ำหัวและงานทุบขึ้นรูปเย็น และเหล็กลวดคาร์บอนสำหรับงานย้ำหัวและงานทุบขึ้นรูปเย็นที่เจือธาตุอื่น ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน...ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศ...ได้พิจารณายุติการใช้มาตรการการทุ่มตลาดเหล็กลวดคาร์บอนต่ำจากประเทศจีน...โดยให้เหตุผลว่าการที่ให้ยุติการทบทวนเพื่อเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเนื่องจากไม่มีผู้ผลิตสินค้าเหล็กลวดคาร์บอนต่ำให้ข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นครบถ้วนถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด ตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.การตอบโต้การทุ่มตลาดฯ...ต้องบอกอย่างนี้ว่าการยุติการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) สินค้าเหล็กสินค้าเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ จากจีน ... เป็นกรณีตัวอย่างการไต่สวนที่แย่ที่สุดที่ในรอบ 20 ปีที่เคยมีการไต่สวนมานับตั้งแต่เริ่มมีการบังคับใช้มาตรการ AD ของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์.... เพราะการไต่สวนเป็นไปด้วยการสร้างความลำบากให้กับผู้ประกอบการตั้งแต่กระบวนการยื่นคำขอใช้มาตรการโดยเฉพาะการขอข้อมูลที่เกินความจำเป็นสำหรับการเปิดไต่สวน...และยังเป็นการรวบรัดยุติการใช้มาตรการเคสโดยมิได้ให้อุตสาหกรรมภายในมีโอกาสให้ข้อมูลที่สำคัญ....ซึ่งเป็นที่กังขาของผู้ผลิตเหล็กในประเทศทั้งวงการ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นปัญหาเรื่องที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการไต่สวน หรือข้อกฎหมาย หรือด้วยเหตุผลประการใด เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีการทำเช่นนี้มาก่อน...ซึ่งผลที่จะตามมาจากนี้คือ... จะมีการไหลทะลักของสินค้าจากจีนเข้ามายังประเทศไทย หากจะยื่นคำร้องอีกครั้งต้องรอให้บริษัทเสียหายอย่างร้ายแรงอีกครั้ง และกว่าจะมีการใช้มาตรการอย่างน้อยอีก 2 ปี...
และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นยังมีอีกหลายกรณีที่เป็นผลจากความผิดพลาดในการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณามาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด...เช่น ..1. Case AD เหล็กเคลือบดีบุก จีน ไต้หวัน สหภาพยุโรป เกาหลี (ถูกเรียกเก็บ 0% เป็นระยะเวลา 6 เดือนแล้วเหลือระยะเวลาใช้มาตรการ 4.5 ปี)...ประกาศมาตรการชั้นที่สุด : ประกาศ 30 ต.ค. 2565 ให้ใช้มาตรการ 5 ปี แต่เรียกเก็บอากร AD 0%เดือน (13 พ.ย.-12 เม.ย. 2564)... 2.Case AD เหล็กเคลือบโครเมียมจีน เกาหลี ยุโรป (ถูกเรียกเก็บ0% เป็นระยะเวลา 6 เดือนแล้วเหลือระยะเวลาใช้มาตรการ 4.5 ปี) ประกาศมาตรการชั้นที่สุด : ประกาศ 30 ต.ค. 2565 ให้ใช้มาตรการ 5 ปี แต่เรียกเก็บอากร AD 0% เดือน (13 พ.ย.-12 เม.ย. 2564)... 3.Case AD เหล็กเคลือบอะลูมิเนียม และสังกะสี แล้วทาสีจีน เกาหลี (ถูกเรียกเก็บ 0% เป็นระยะเวลา 1 ปีแล้วเหลือระยะเวลาใช้มาตรการ 4 ปี)ประกาศมาตรการชั้นที่สุด : ประกาศ 26 เม.ย. 2565 ให้ใช้มาตรการ 5 ปี แต่เรียกเก็บอากร AD 0% เดือน (1 พ.ค.-31 ต.ค. 2564) ขยายเวลาเรียกเก็บ 0%อีก 6 เดือน : ประกาศ 30 ต.ค. 2564 (1 พ.ย. 2564-30 เม.ย. 2565)...ฯลฯ
ต้องบอกว่าตัวอย่างของความผิดพลาดและการยุติเคสที่ไม่เป็นธรรมไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย....ย่อมส่งผลให้สินค้าจากจีนและประเทศอื่นๆ จะไหลทะลักมายังประเทศไทย ซึ่งผู้ประกอบการในประเทศคงต้องรับชะตากรรมขาดทุนหนักๆ อีกสัก 2-3 ปี เพื่อขอให้มีการใช้มาตรการได้อีกครั้ง...คำถามสำคัญคือจะเหลือผู้ประกอบการของไทยอยู่รอดถึงวันนั้นหรือไม่....นาทีนี้คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่า...กระทรวงพาณิชย์ ก็คือ “ระเบิดทำลายล้างสูงของอุตสาหกรรมเหล็กไทยนั่นเอง”...เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ว่า ผู้บริหารสูงสุดของกระทรวงพาณิชย์ อย่างคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รมว.พาณิชย์ ไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่ได้..เพราะผู้ประกอบการได้เข้าไปพบไปให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเข้าไปเรียกร้องร้องขอ...มาแล้วหลายครั้งหลายหน...ที่สำคัญ โดยตำแหน่ง..คุณจุรินทร์ คือประธานคณะกรรมการพิจารณามาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ...จะหนีความรับผิดชอบต่อการล่มสลายของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไม่ได้...หลังจากนี้เชื่อเหลือเกินว่าหากกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าประเทศ...ยังคงมีวิธีการไต่สวนฯที่ไม่เป็นธรรมเช่นนี้...จะมีเหล็กในประเทศอีกหลายประเภทมีชะตากรรมที่โหดร้ายไม่ต่างจากเหล็กชนิดต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น....พี่น้องแรงงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล็ก 2-3 แสนคน...พึงจดจำเอาไว้ว่า..พรรคการเมืองใดที่ทำลายอุตสาหกรรมของพวกท่านพวกท่านจะต้องตกงานพ่อแม่ลูกเมียของพวกท่านจะเดือดร้อนเพราะพรรคการเมืองใด...อีกไม่นานก็จะมีการเลือกตั้งใหม่แล้ว...คงจดจำใส่ใจไว้ใช่ไหมว่า...จะต้องไม่ควรเลือกพรรคการเมืองใดเข้ามาอีก...หากต้องการจะมีงานทำมีรายได้เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียต่อไป....**
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี