nn แน่นอนว่าขณะนี้สังคมกำลังให้ความสนใจกับดีลประวัติศาสตร์...นั่นคือการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ทรู กับ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ซึ่งได้ประกาศแผนการดำเนินการควบรวมมาตั้งแต่ปลายปี 2564 ในขณะที่กระบวนการทำงานของ ทรูฯ กับ ดีแทค กำลังดำเนินไป ในอีกฝั่งหนึ่ง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ก็กำลังจัดทำการเปิดรับฟังความคิดเห็นในวงจำกัด (Focus Group) ซึ่งแบ่งเป็น 3 รอบ ซึ่งก็ต้องบอกว่าการที่ กสทช.ได้จัดเวที รับฟังความคิดเห็นฯ ขึ้นมาส่วนหนึ่งมาจากเสียงสะท้อนจากหลายฝ่าย ทั้งคนในวงการอุตสาหกรรมโทรคมนาคม นักวิชาการ ผู้บริโภค ที่มีต่อดีลนี้
กสทช.ชุดใหม่ที่เข้ามา “รับไม้ต่อ” จาก กสทช.ชุดรักษาการ (ที่หลายคนมองว่าเฉยๆ กับดีลนี้) สังคมได้คาดหวังว่า กสทช.ชุดใหม่ที่เข้ามาคงจะเป็นความหวังให้ประชาชนผู้ใช้บริการได้ เพราะต่างได้รับทราบบรรดาข้อทักท้วงต่างๆที่ประดังเข้ามาอยู่แล้ว มีหรือที่ “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่ได้รับการโหวตให้เข้ามาเป็นกสทช.ชุดนี้จะไม่รับรู้ แต่ดูเหมือนเพียงขวบเดือนนับแต่ กสทช. ชุดใหม่ก้าวเข้ามา และเริ่มปัดฝุ่นแฟ้มควบรวมกิจการทรู-ดีแทค ขึ้นมา ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ก็เริ่มสอดแทรกออกมา โดยเฉพาะกรณีที่สำนักงานกสทช.มีการจัดเวทีเพื่อรับฟังความคิดเห็นสาธารณะแบบจำกัดหรือ “โฟกัส กรุ๊ป” จากภาคส่วนต่างๆ เพื่อประกอบข้อมูลการตัดสินใจของบอร์ดกสทช.ชุดใหญ่
เสียงสะท้อนของเวทีโฟกัส กรุ๊ป รอบแรก ที่ได้มา ดูจะทำให้สังคมเต็มไปด้วยข้อกังขา ว่านั่นคือคำตอบที่ใช่ที่ทุกฝ่ายเพรียกหากันหรือไม่? แม้แต่ กสทช.เองก็ยังเคลือบแคลงใจจนถึงกับมีการเสนอรูปแบบประชาพิจารณ์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง เพราะข้อมูลจากเวทีโฟกัสกรุ๊ปที่ได้ ดูจะเป็นแค่ “ทำกันพอเป็นพิธี” เพราะคนที่เข้ามาร่วม ดูเหมือนจะไม่ใช่ “ตัวจริงเสียงจริง”
อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาผลกระทบจากการควบรวมกิจการก็โทรคมนาคมระหว่างทรูและดีแทค ได้ส่งสัญญาณแรงไปยัง กสทช.ชุดใหม่นี้ว่า จากข้อกฎหมายนี้ มีความกังวลว่า เดิมประกาศ กสทช.ในปี 2553 นั้น กสทช. ยังมีอำนาจเต็มในการอนุญาตหรือไม่อนุญาต แต่ประกาศปี 2561 กรรมาธิการมีความเห็นตรงกันว่า เหมือนเป็นการลดอำนาจหน่วยงานกำกับดูแล จากการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้รวมธุรกิจ เหลือเพียงรับทราบรายงาน และออกมาตรการกำกับดูแลผลกระทบที่เรียกว่า มาตรการเฉพาะ จึงคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องมีการตีความกฎหมาย กฎกติกาในการควบรวมธุรกิจ ครั้งนี้ว่า ควรจะดำเนินการ ในการใช้อำนาจของหน่วยงานกำกับดูแล ให้มีอำนาจในการอนุญาตหรือไม่อนุญาต ด้วยตัวเขาเอง ไม่ใช่เพียงการรับทราบรายงาน
ทั้งนี้ จากการหารือกับ นพ.ประวิทย์ลี่สถาพรวงศา อดีตกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทราบว่า ประกาศ กสทช. อีกฉบับหนึ่ง เรื่องมาตรการการป้องกัน มิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาด หรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม ในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม ซึ่งยังมีผลบังคับใช้อยู่โดยตามประกาศนี้ เป็นประกาศปี 2549 ข้อ 8 มีการระบุว่าการเข้าถือครองธุรกิจประเภทเดียวกันจะด้วยการเข้าซื้อ หรือถือหุ้นเกินร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของผู้ได้รับใบอนุญาต รายอื่นไม่สามารถกระทำได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก กสทช. และจะต้องแจ้งแก่คณะกรรมการ เพื่อขออนุญาตตามหลักเกณฑ์ เท่ากับประกาศฉบับนี้ ยังคงอำนาจการอนุญาตไว้ หากเป็นธุรกิจประเภทเดียวกัน
ขณะที่ หมอลี่-นพ.ประวิทย์ลี่สถาพรวงศา อดีตกสทช. ด้านคุ้มครองผู้บริโภคได้เสริมประเด็นความคลุมเครือในเรื่องนี้ว่า“ถ้าอ่านอย่างตรงไปตรงมาตามวิญญูชนทั้งหลาย ต่อให้(ผู้ประกอบการสื่อสาร)แจ้งเพื่อทราบตามประกาศ กสทช.ปี 2561 แต่กระนั้นยังต้องพิจารณาตามประกาศของปี 2549 ประกอบด้วยแสดงว่า กสทช. มีอำนาจในการพิจารณา และถือว่าประกาศปี 2549 มีน้ำหนักกว่าประกาศปี 2561 ที่ให้มีการควบรวมกิจการได้ หากมีปัญหาจึงกำหนดมาตรการเฉพาะ แต่ประกาศปี 2549 อยู่บนพื้นฐานของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบกิจการโทรคมนาคมพ.ศ. 2544 มาตรา 21 ระบุว่าการถือครองธุรกิจประเภทเดียวกันเป็นข้อต้องห้ามยกเว้นกสทช. อนุญาต
ดังนั้น หากพิจารณาแล้วเห็นว่า คำขอนั้นไม่แสดงถึงประโยชน์สาธารณะ ไม่ต้องพูดถึงผลกระทบหรือประโยชน์ที่ประเทศชาติจะได้รับไม่ต้องอนุญาตได้เลย” นพ.ประวิทย์กล่าวและว่าดีลธุรกิจนี้จะจบได้ในปลายปีหรือไม่ขึ้นอยู่กับกสทช. หากมีคำสั่งห้ามก็จบ มีเงื่อนไขเข้มข้นจนผู้ประกอบการรู้สึกว่า การควบรวมกิจการไม่มีประโยชน์ ไม่คุ้มทุนก็จบ แต่ถ้า กสทช. มีเงื่อนไขที่เอื้อให้ผู้ประกอบการไปต่อ ดีลนี้ก็จบได้ยาก
เปิดข้อเท็จจริงด้านกฎหมายกันมาเสียขนาดนี้แล้ว กสทช.ชุดนี้ ยังจะดิ้นว่า กม.กำกับดูแล และป้องปรามในเรื่องนี้ยังขาดความชัดเจน และ กสทช.เป็นได้แค่ “รับเบอร์ แสตมป์” ไม่มีสิทธิ์ติดเบรกหรือสั่งระงับการควบรวมกิจการครั้งนี้กันอีกหรือ ระวังผลงานชิ้น “โบแดง” ในการชี้ขาดดีลควบรวมกิจกานครั้งประวัติศาสตร์นี้ จะกลายเป็น “โบแดงแสลงใจ” ที่ทำเอาองค์กร กสทช.ถูก “ตราหน้า” ว่าเทกระจาดผลประโยชน์สาธารณะและประชาชน จนต้องวางพวงหรีดกันแทนเสียล่ะ
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี