ชื่อเรื่องวันนี้อาจฟังดูแล้วโหดไปสักนิด แต่มันเป็นชีวิตจริงของคนทำงาน โดยเฉพาะคนทำงานโรงงาน หรือกลุ่มคนที่มี “โครงสร้างรายได้” แบบผสม คือ มีส่วนที่เป็นรายได้หลักก้อนหนึ่งและที่เหลือเป็นส่วนเพิ่มจากความขยันหรือผลงาน อาทิ เบี้ยขยัน ค่าล่วงเวลา (OT) คอมมิชชั่น ฯลฯ
ที่จริงปัญหานี้ผมพบเห็นในกลุ่มผู้ที่เข้ามาขอคำปรึกษาหลายปีแล้ว ตัวอย่างที่เคยถูกเชิญไปแก้ปัญหาให้ คือ บริษัทชั้นนำของประเทศแห่งหนึ่ง ที่พนักงานพากันประท้วงในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (2551)
ตอนนั้นคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลงอย่างมาก ทำให้บริษัทลดโอทีพนักงานลง ซึ่งก็น่าจะเข้าใจได้ เพราะคำสั่งซื้อลด เวลาในการผลิตก็ย่อมต้องลดตามไปด้วย
แต่เอาเข้าจริงพนักงานไม่เข้าใจ เพราะการเงินรายเดือนผูกสูตรกับโอทีไว้แล้ว ถ้าไม่มีโอที ก็ไม่มีกินแน่ๆ ด้วยเหตุเงินเดือนที่มีเจ้าหนี้จับจองไว้ทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหนี้สวัสดิการบริษัท และหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ ที่หักตรงจากบัญชีทันทีในวันที่เงินเดือนออก ไหนจะยังมีหนี้อื่นๆ อีก ฉะนั้นการจะมีเงินเหลือกินอีก 30 วัน จึงต้องพึ่งพาเงินโอทีเพียงอย่างเดียว
และนั่นคือที่มาของ “เงินเดือนเอาไว้ใช้หนี้ โอทีเอาไว้แดก!”
อีกกลุ่มหนึ่งที่เจอปัญหานี้บ่อยครั้งไม่แพ้กัน ก็คือ กลุ่มพนักงานขายที่มีรายได้ผสม คือ เงินเดือนนิดหน่อย (บางที่นี่นิดหน่อยจริงๆ นะ) บวกด้วยคอมมิชชั่นจากการขาย
2 ปีที่โควิดมาเยือน อย่าว่าแต่ทำยอดไม่ได้ เพราะร้านแทบไม่เปิดให้ขายเสียด้วยซ้ำ เดือดร้อนกันหนักมาก เพราะเมื่อมีแต่เงินเดือน แน่นอนว่าย่อมไม่พอกิน
เรื่องรายได้มากหรือน้อย ผมเองคงไปพูดถึงอะไรไม่ได้มากแต่ที่อยากจะพูดถึงคือ กลุ่มที่ในเวลาปกติรายได้หลัก บวกเงินพิเศษ จัดได้ว่า อู้ฟู่หรูหรา แต่พอถูกตัดโอที คอมมิชชั่น แล้วอยู่กันไม่ได้
สาเหตุเพราะช่วงสภาวะปกติ ก็สร้างรายจ่ายคงที่ (Fixed Expenses) ไว้สูงมาก สูงจนเกินเพดานรายได้หลัก ต้องรักษาสถานะการเงินไว้ด้วย “รายได้ส่วนเพิ่ม”
ตัวอย่างเช่น รายได้ 30,000 บาท โอทีเฉลี่ย 15,000 บาท(มากกว่านี้ก็มีนะ) แต่สร้างรายจ่ายคงที่ อาทิ ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถผ่อนบัตร และอื่นๆ ไว้เต็มเหนี่ยวร่วมๆ 30,000 บาท แต่ในเวลาปกติยังกินสบาย เพราะมี 15,000 บาท เอาไว้หมุนเวียนใช้ทั้งเดือน
แต่พอเหตุไม่ปกติผ่านเข้ามา เช่น ยอดส่งออกตกยอดขายร่วง โควิดมา เศรษฐกิจโดนพิษโดนภัย ฯลฯ ยอดโอที 15,000 บาท ร่วงลงแทบเหลือศูนย์ (ดีที่ยังไม่ปิดแผนกเอาคนออก)ก็เลยเดือดร้อน
ซึ่งวิธีจัดการกับความเดือดร้อนนี้ก็แตกต่างกันไป บางคนจัดการที่ตัวเอง ก็ต้องหมุนบัตรกดเงินสด ขอสินเชื่อสหกรณ์เพิ่ม บางคนก็เข้าไปคุยกับบริษัท ขอให้เปิดโอทีบ้าง ช่วยๆ กันไป
ไม่ได้หยิบเรื่องนี้มาคุยเพื่อซ้ำเติม แต่อยากชวนคนที่มีโครงสร้างรายได้แบบผสมแบบนี้ว่าต้อง “ละเอียดและรอบคอบ” กับการบริหารเงินให้มากๆๆๆๆ
เพราะโดยหลักการแล้ว ถือว่ามีความเสี่ยงจากภาวะรายได้หดหาย หรือ income shock และควรที่จะต้องระวังเรื่องการสร้างรายจ่ายคงที่ (หรือถาวร) ไม่ให้มีมากเกินไป และถ้าให้ดีไม่ควรเกินรายได้หลักที่มี
เช่นกรณีตัวอย่าง ถ้ารายได้หลัก คือ 30,000 บาท ก็ควรควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะคงที่หรือผันแปร (เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และของใช้ส่วนตัว) ไม่ให้เกิน 30,000 บาท แบบนี้รายได้ในส่วนเพิ่ม 15,000 บาท ก็จะเหลือเอาไว้สะสมและลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งได้
ปัญหาในลักษณะเดียวกัน เกิดขึ้นกับที่ทำงานประจำควบคู่ไปกับการสร้างรายได้จากอาชีพเสริม จริงอยู่ว่าบางคนเป็นหนี้หนัก เลยหารายได้เสริมมาช่วย ก็ต้องวางแผนให้ดี ค่อยๆ พยายามลดภาระลง ใช้คืนหนี้เก่า ไม่สร้างหนี้ใหม่
แรกๆ รายได้เสริมอาจมาช่วยเรื่องการกินอยู่ให้พอ พอภาระหนี้เบาลง ก็ควรเริ่มควบคุมรายจ่ายให้อยู่ในขอบเขตรายได้หลัก ส่วนรายได้เสริมก็นำไปเก็บออมหรือลงทุนเพื่อเร่งความมั่งคั่ง
“พูดง่าย … แต่ทำไม่ง่ายนะโค้ช”
จริงครับ ถ้าง่ายแม่งก็คงไม่มีใครติดกับดักปัญหาวนไม่รู้จบแบบที่เล่ามาหรอก
แต่ก็นั่นแหละ! ถ้าเราไม่พยายามที่จะหลุดพ้นวงจรให้มากพอเราก็ต้องเหนื่อยกับสภาวะเงินขาดมือและกู้กินกันไปไม่รู้จบ
ใครที่มีโครงสร้างรายได้แบบผสม และคุ้นชินอยู่กับสโลแกน“เงินเดือนเอาไว้ใช้หนี้ โอทีเอาไว้แดก” แต่ยังไม่ถึงกับมีปัญหาเงินขาดมือ ผมชวนให้จริงจังและละเอียดกับเรื่องเงินทองให้มากขึ้นนะครับ
อยากชวนย้ายออกจากกลุ่มดังกล่าว มาสู่กลุ่มใหม่
“เงินเดือนเอาไว้แดก โอที (อย่าใช้) สะสมไว้ลงทุน”
แค่ชื่อกลุ่มก็ฟังดูมีอนาคตการเงินมากกว่ากันเยอะเลยครับ
#โค้ชหนุ่ม #TheMoneyCoachTH
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี