หลายครั้งเวลาเรียนรู้วิชาการเงิน คนจํานวนไม่น้อยชอบติดนิสัยเรียนแบบท่องจํา
อาศัย ... จํา จํา แล้วก็จํา ไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งในทุกบริบทแล้วก็อาจนำไปใช้แบบผิดเพี้ยน
ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งเล่าให้เรื่องของเขาให้ฟังว่า ชีวิตกำลังไปได้สวย และใกล้จะมีอิสรภาพการเงินแล้ว เพราะเขาสะสมทรัพย์สินเป็นคอนโดให้เช่าเพิ่มขึ้นทุกปี
เมื่อถามลึกลงไป เลยได้ความว่า คอนโดฯให้เช่าทั้ง4 ห้องของเขา มีคนเช่าเต็มทุกห้อง แต่ปรากฎว่าไม่มีห้องไหนเลยที่กระแสเงินสดไม่ติดลบ (ค่าเช่าไม่พอเงินผ่อนและค่าส่วนกลาง) ทำให้ทุกเดือนเขาต้องควักเงินเดือนตัวเอง เพื่อเลี้ยงสภาพคล่องของคอนโดทั้ง 4 ห้องนั้น
พอถามว่าทำไมถึงเลือกลงทุน ทั้งๆ ที่กระแสเงินสด“ติดลบ” พี่แกก็ตอบกลับมาว่า “ทำตามหนังสือพ่อสอนลูก”
“บ้านเป็นหนี้สิน แต่บ้านเช่าเป็นทรัพย์สิน”
“กู้เงินซื้อบ้านเป็นการสร้างหนี้เลว แต่กู้เงินซื้อคอนโดฯให้เช่าเป็นหนี้ดี”
(อันนี้คือแนวคิดของพี่เค้านะครับ อย่าไปทำตามนะ)
หลังได้ฟังยอมรับว่าตกใจ เพราะไม่อยากให้คนที่อ่านงานแปลของเราเข้าใจผิด เลยบอกกลับไปว่า ...
“ที่จริงหนังสือบอกเอาไว้ว่า อะไรที่ทำให้สุดท้ายแล้วเราต้องควักเงินออกจากกระเป๋าทุกเดือน(เช่น เงินผ่อน) ก็ถือว่าเป็น “หนี้สิน” ตามแนวคิดของเค้าทั้งหมดนะครับ ดังนั้นถ้าเราลงทุนแล้วกระแสเงินสด “ติดลบ” ทุกเดือน สิ่งที่เราลงทุนก็จะกลายเป็น “หนี้สิน” ด้วย”
อย่างคอนโดฯทั้ง 4 ห้องของพี่ ที่ลงทุนแล้วติดลบทั้งหมด ก็เป็น “หนี้สิน” ตามคอนเซ็ปต์ของหนังสือเหมือนกันต้องรีบวางแผนให้กลับมาเป็นบวกนะครับ
ได้ฟังดังนั้น แกกระฟัดกระเฟียดใส่ผมใหญ่ หาว่าแปลหนังสือแท้ๆ แต่ไม่เข้าใจ สรุปสุดท้ายแกเลือก ไม่ฟังผม แล้วสวนกลับมาด้วยสูตรอมตะแห่งการลงทุนอสังหาฯให้เช่า นั่นคือ“ติดลบไม่เป็นไร ถ้ายังผ่อนไหว ถึงยังไงวันหนึ่งคอนโดฯทุกห้องก็ต้องเป็นของผมอยู่ดี”
(ซึ่งก็ถูกของพี่เขา ถ้าเงินเดือนเขายังเหลือผ่อนส่วนต่างได้ไอ้โค้ชมึงก็อย่าไปเสือกเขา 555)
ผมได้แต่ยิ้ม ว่าจะไม่ตอบอะไร เพราะคิดว่าเขาคงไม่อยากฟังอะไรแล้ว แต่ก็ยังไม่วายให้คำแนะนำตบท้ายแกไปเบาๆ ว่า “ถ้าลงทุนแล้วติดลบ พี่จะลงทุนได้ไม่กี่หลังหรอกครับเพราะพี่จะเติมกระแสเงินสดไม่ไหวในที่สุด แต่ถ้าลงทุนแล้วกระแสเงินสดเป็นบวก พี่จะลงทุนกี่หลังก็ได้ตราบเท่าที่เครดิตพี่ลงทุนได้ เพราะไม่ต้องควักเงินตัวเองไปสนับสนุนมัน”
สุดท้ายความรู้ที่เราได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง หากไม่ได้ทวนสอบความเข้าใจก่อนลงมือทำ บางทีก็อาจพาชีวิตการเงินไปสู่ความเสี่ยงได้เหมือนกัน เลยได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องร้ายๆทำให้แผนการลงทุนของพี่เค้าได้รับผลกระทบ
โดยส่วนหลังอ่านอะไรจบสักเรื่อง ผมมักจะหยิบเรื่องที่ได้อ่านมาตั้งคำถามในบริบทที่แตกต่างกับคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน เราถามบ้าง เขาถามบ้าง ช่วยให้ความเข้าใจในสิ่งที่สนใจมีมากขึ้นเวลานำไปใช้ก็เกิดผลในทางบวกและเหมาะกับตัวเรา
ที่สําคัญ คือ หัดเอะใจ กับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นบ้างว่า ที่เราเชื่อเมื่อเราทําแล้วชีวิตเราดีขึ้นหรือเปล่า
ถ้าใช่ .. ก็ลุยต่อเดินหน้าต่อ
แต่ถ้าไม่ใช่ ....... หยุดพัก หยุดเช็ค หยุดฟัง เสียงทักเสียงเตือนบ้าง ก็ดีเหมือนกันครับ
#โค้ชหนุ่ม #TheMoneyCoachTH
ปล.๑ เคสนี้เกิดขึ้นตอนเริ่มเป็นมันนี่โค้ชใหม่ๆ ถ้าวันนั้นใจเย็นหน่อย คงอธิบายพี่เค้าได้ดีกว่านี้ ไม่ตอบโพล่งจนอีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี
ปล.๒ คนที่ซื้อบ้านหลายคน เวลาอ่านพ่อรวยสอนลูกมักจะสงสัยว่า “ทำไม? บ้านเป็นหนี้สิน” เอาจริงๆ ตัวบ้านหนะเป็น “ทรัพย์สิน” แหละ (ก็มันมีมูลค่า) แต่เราซื้อด้วยเงินกู้ธนาคาร จึงทำให้เรามีภาระ “หนี้สิน” ที่ต้องผ่อน
เอาจริงๆ เวลาลงในงบการเงิน คนกู้ซื้อบ้าน ก็จะลง“มูลค่าบ้าน” ไว้ในช่อง “ทรัพย์สิน” และลง “เงินกู้ยืมธนาคาร”ไว้ในช่อง “หนี้สิน” อันนี้คือทางบัญชี แต่ในหนังสือพ่อรวยสอนลูก โรเบิร์ต (คนเขียน) เขาใช้เกณฑ์ “กระแสเงินสด” ที่เกิดจากสิ่งที่เราถือครองว่า เป็น “+” หรือ “-”
ปล.๓ เคสลงทุนอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าแล้ว “ติดลบ” แก้ได้โดย 1) เพิ่มค่าเช่า หรือ 2) รีไฟแนนซ์เพื่อลดยอดผ่อน เพื่อทำให้กระแสเงินสดกลับมาเป็นบวก การลงทุนที่สร้างกระแสเงินสดต้องเป็นไปตามคอนเซ็ปต์ “ถือได้เงิน ขายได้กำไร” แต่ถ้าผิดพลาดอะไรก็แก้ได้ ที่แย่คือแก้ไม่ทันเพราะกระแสเงินสดติดลบ และยังไม่ถึงเวลารีไฟแนนซ์ได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี