ll การทยอยฟื้นตัวกลับมาของการใช้จ่ายภายในประเทศ จะช่วยหนุนการเบิกใช้สินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจทั้งในส่วนที่เป็นการลงทุนระยะยาว เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน รวมถึงสินเชื่อภายใต้โครงการสินเชื่อฟื้นฟู ขณะที่ในฝั่งของผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อยนั้น ยังคงเห็นสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิตเติบโตในอัตราตัวเลขสองหลักซึ่งสูงกว่าผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อยประเภทอื่นๆ จากภาพดังกล่าว คาดว่า สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ ในไตรมาสที่ 3/2565 จะขยายตัวประมาณ 5.3-5.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Net Interest Margin: NIM) อาจขยับขึ้นไปอยู่ในกรอบ 2.72-2.75% จากผลของสินเชื่อที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของพอร์ตสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง และผลจากการที่ธนาคารพาณิชย์ยังคงเน้นจัดการโครงสร้างต้นทุนเงินฝากอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้การทยอยฟื้นตัวกลับมาของการใช้จ่ายภายในประเทศยังช่วยหนุนรายได้ค่าธรรมเนียมบางรายการให้ขยับขึ้นแม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนยังน่าจะยังได้รับผลกระทบบางส่วนจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ในตลาดการลงทุนก็ตาม ทั้งนี้คาดว่า รายได้ค่าธรรมเนียมในส่วนของบัตรเครดิตที่จะได้รับอานิสงส์จากการเพิ่มสูงขึ้นของยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่สามารถกลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ขณะที่ค่าธรรมเนียมจากการเป็นนายหน้า รวมถึงค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อและค่าธรรมเนียมจากการออก/จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ก็น่าจะขยับขึ้นด้วยเช่นกัน จากทิศทางดังกล่าวและผลของฐานที่ต่ำในช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้คาดว่า รายได้ค่าธรรมเนียมอาจขยับขึ้นมาขยายตัวในกรอบ 4.5-7.0% YoY ในไตรมาสที่ 3/2565
อย่างไรก็ดีความเปราะบางของเศรษฐกิจส่งผลให้หนี้ทยอยเข้าปรับโครงสร้างฯ เป็นหนี้ที่มีปัญหาซับซ้อน ซึ่งก็ตอกย้ำว่าปัญหาคุณภาพหนี้ยังคงเป็นโจทย์ต่อเนื่องที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเร่งจัดการแบบเชิงรุกภาพดังกล่าวสะท้อนผ่านข้อมูลการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ที่ทยอยเพิ่มสูงขึ้น จากที่เคยลดลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 1.86 ล้านล้านบาทในเดือนเม.ย. 2565 ก็ขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.94 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนก.ค. 2565 โดยหลักๆ แล้วเป็นการเพิ่มในส่วนของสินเชื่อธุรกิจ ทั้งในส่วนของสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่
นอกจากนี้เศรษฐกิจที่ยังมีสัญญาณฟื้นตัวไม่เต็มที่ ยังน่าจะทำให้คุณภาพสินทรัพย์ในพอร์ตสินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อรายย่อยที่ไม่มีหลักประกันด้อยลงด้วยเช่นกัน ดังนั้น สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ของระบบธนาคารพาณิชย์ ในไตรมาสที่ 3/2565 อาจขยับขึ้นมาอยู่ในกรอบประมาณ 2.90-2.97% ต่อสินเชื่อรวมซึ่งทำให้ระดับการตั้งสำรองฯ น่าจะทรงตัวหรือลดลงเพียงน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า โดยสัดส่วนการตั้งสำรองฯ ต่อสินเชื่อ (Credit Cost) น่าจะยังคงอยู่ในช่วง 1.17-1.20% ในไตรมาสที่ 3/2565 ทรงตัวเมื่อเทียบกับ 1.19% ในไตรมาสที่ 2/2565 แต่ต่ำลงเมื่อเทียบกับ 1.48% ในไตรมาส 3/2564
สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์นั้น คาดว่า อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์จะยังคงทยอยขยับขึ้นตามจังหวะของอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลังจากที่ได้เริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในช่วงปลายเดือนก.ย. 2565 ตามหลัง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วใน 2 รอบการประชุมในเดือนส.ค. และก.ย. 2565 ซึ่งจะช่วยหนุนให้ ส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ของระบบแบงก์ไทยขยับขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ไปอยู่ที่ประมาณ 2.80-2.84% โดยประเมินว่า สัดส่วนสินเชื่อที่จะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ช่วงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงจะอยู่ที่ประมาณ 65% ของยอดคงค้างสินเชื่อโดยรวมของระบบ ธนาคารพาณิชย์ จดทะเบียนในประเทศอย่างไรก็ดี การทยอยรับรู้ต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย สำหรับในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และการปรับอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDFFee)ในช่วงต้นปี 2566 อาจทำให้แรงหนุนต่อ NIM ทยอยคลายตัวลงโดยเฉพาะในกรณีที่การขยับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยังคงมีลักษณะทยอยปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
สำหรับในช่วงรอยต่อไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 และต้นปี 2566 คาดว่า สถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังมีสัญญาณฟื้นตัวจะเอื้อให้มีการเบิกใช้สินเชื่ออย่างต่อเนื่องในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2565 และเมื่อประกอบกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่เริ่มขยับขึ้นก็น่าจะช่วยหนุนการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และการขยับขึ้นของ NIM แต่อย่างไรก็ตามคงต้องติดตามความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ที่อาจเป็นข้อจำกัดในการฟื้นตัวของรายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์โดยเฉพาะโจทย์ด้านกำลังซื้อและการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังน่าจะเผชิญแรงกดดันจากการขยับสูงขึ้นของต้นทุนและอัตราเงินเฟ้อ ขณะที่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่ทำให้ตลาดเงินตลาดทุนมีความผันผวนก็อาจส่งผลต่อการประคองทิศทางรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในระยะถัดไปนอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ยังคงต้องติดตามดูแลสถานการณ์และเร่งปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาวให้กับลูกหนี้ ควบคู่ไปกับการปรับระดับการกันสำรองฯ ให้มีความเหมาะสมตามสภาพแวดล้อมทางธุรกิจขณะที่ การวางกลยุทธ์การเติบโตในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอาจต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะกลุ่มลูกหนี้รายย่อย เพราะครัวเรือนส่วนใหญ่ยังมีภาระหนี้ในระดับสูงและมีฐานะทางการเงินที่เปราะบาง ซึ่งทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ ควบคู่ไปกับรายได้ในการดำรงชีพของของลูกหนี้ตามแนวทางการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Lending)ของธปท. ซึ่งจะครอบคลุมทั้งในส่วนของการปล่อยหนี้ใหม่ที่มีคุณภาพ และการให้ข้อมูลสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อลูกหนี้เพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถปรับพฤติกรรมให้เกิดวินัยทางการเงินและหลีกเลี่ยงการก่อหนี้เกินตัว
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี