เมื่อกล่าวถึงเรื่องภาษีความเค็มแล้ว คนส่วนมากอาจจะยังไม่เคยได้ยิน หรือยังไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไร และมีความเกี่ยวข้องกับประชาชนอย่างไรกันแน่
กล่าวโดยให้เข้าใจง่ายๆ ภาษีความเค็ม คือ ภาษีที่ภาครัฐจะจัดเก็บกับผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการเกี่ยวกับอาหารหรือผลิตภัณฑ์ ที่มีปริมาณโซเดียมหรือความเค็มเกินมาตรฐานที่ได้กำหนดไว้
เมื่อหลายปีก่อนภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันเสนอรูปแบบ และช่วยกันหาแนวทางการบังคับใช้ภาษีความเค็มในประเทศไทยมาแล้ว แต่ยังไม่มีข้อสรุป หรือยังไม่มีแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจน จึงยังไม่มีการบังคับใช้แต่อย่างใด ประกอบกับในช่วงนั้น ได้เริ่มมีการบังคับใช้ภาษีความหวาน (วันที่ 16 กันยายน 2560)ซึ่งเป็นภาษีที่จัดเก็บกับผู้ประกอบการหรือผู้นำเข้าเครื่องดื่มหรือผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาลเกินมาตรฐานที่ได้กำหนดไว้
ดังนั้น จึงอาจมีการชะลอเรื่องของภาษีความเค็มไว้ก่อน เพื่อรอดูผลของการบังคับใช้ภาษีความหวาน ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไรบ้าง เพื่อนำผลดังกล่าวมาเป็นแนวทางในการบังคับใช้กับภาษีความเค็มต่อไป และเมื่อไม่นานมานี้ได้มีการหยิบยกเรื่องภาษีความเค็มขึ้นมาพูดคุยกันอีกครั้ง
สาเหตุที่ภาครัฐเตรียมจัดเก็บภาษีความเค็ม นั้น สืบเนื่องมาจากพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยที่มีความเคยชินในการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสจัด เช่น หวานจัดเค็มจัด หรือมันจัด มาเป็นระยะเวลานานแล้ว ซึ่งล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง หรือเกิดผลร้ายต่อสุขภาพทั้งสิ้น ถึงแม้อาจจะไม่ส่งผลทันทีภายหลังจากที่บริโภคอาหารรสจัดดังกล่าว แต่จะส่งผลในระยะยาวเมื่อมีการสะสมในร่างกายเป็นเวลานาน มีผลสำรวจจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในการบริโภคโซเดียม หรือการบริโภคอาหารรสเค็มของคนไทย มีปริมาณที่สูงเกินกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำ ซึ่งปริมาณโซเดียมหรือเกลือ ที่บริโภคเพียงพอต่อวัน และจะไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ คือ โซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน
การบริโภคโซเดียม หรืออาหารรสเค็มในปริมาณที่สูงหลายคนอาจจะมองข้ามผลกระทบที่จะเกิดขึ้นโดยตรงต่อสุขภาพของผู้บริโภค
การบริโภคโซเดียม หรืออาหารรสเค็มมากเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดนี้ อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคเบาหวานโดยโรคต่างๆ เหล่านี้ในแต่ละปีต้องใช้เงินเป็นค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก
ที่ผ่านมาภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ที่เกิดจากการบริโภคโซเดียม หรือการบริโภคอาหารรสเค็มในปริมาณที่สูง จึงได้มีการรณรงค์ให้ประชาชนลดการบริโภคโซเดียม หรือลดอาหารที่มีความเค็มให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และสนับสนุนให้ประชาชนเลือกบริโภคอาหารด้วยการดูฉลากโภชนาการข้างผลิตภัณฑ์ก่อนการบริโภค โดยอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของโซเดียม ได้มีการกำหนดให้ผู้ผลิตต้องแสดงปริมาณโซเดียมบนฉลากโภชนาการ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงปริมาณของโซเดียมที่ควรบริโภคได้ไม่เกินเท่าใดต่อวัน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ยังไม่เป็นผลทำให้ประชาชนมีความตื่นตัวเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพ และลดการบริโภคโซเดียม หรือลดอาหารที่มีความเค็ม อย่างมากนัก ซึ่งคนไทยส่วนมากยังบริโภคอาหารที่มีโซเดียมหรือความเค็มในปริมาณที่สูงอยู่เช่นเดิม
ดังนั้น แนวคิดจัดเก็บภาษีความเค็ม จึงได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณากันอีกครั้ง เพื่อช่วยลดการบริโภคโซเดียม หรือความเค็มของคนไทยลงอีกทาง โดยแนวทางของการจัดเก็บภาษีความเค็ม นั้น จะยึดหลักการจัดเก็บภาษีตามสัดส่วนปริมาณของโซเดียม หรือปริมาณของความเค็ม กล่าวคือ หากอาหารหรือผลิตภัณฑ์ใดมีส่วนผสมของโซเดียมในปริมาณมาก หรือมีปริมาณของความเค็มมากจะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูง และหากอาหารหรือผลิตภัณฑ์ใดมีส่วนผสมของโซเดียมในปริมาณน้อย หรือมีปริมาณของความเค็มน้อยจะเสียภาษีในอัตราที่น้อยลงตามสัดส่วน
ก่อนหน้านี้ประเทศไทยมีการเก็บภาษีในลักษณะ เช่นเดียวกันนี้มาแล้ว คือ ภาษีความหวาน หรือภาษีเครื่องดื่มที่มีความหวาน ซึ่งมีหลักการในการจัดเก็บภาษี คือ เครื่องดื่มใดที่มีน้ำตาลหรือมีความหวานมากจะถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูง
เครื่องดื่มใดที่มีน้ำตาลหรือความหวานน้อยจะถูกเก็บเก็บภาษีในอัตราที่น้อยลงตามสัดส่วน โดยบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2560 ทำให้ผู้ประกอบการทั้งหลาย
ได้มีการลดปริมาณน้ำตาลในสินค้าของตนเอง เพื่อให้สอดรับกับการเก็บภาษีความหวานดังกล่าว
ทั้งนี้ หากได้ผ่านการพิจารณาจากภาครัฐที่เกี่ยวข้องแล้ว ภาษีความเค็มจะบังคับใช้กับผู้ผลิต หรือผู้ประกอบการเป็นหลัก ซึ่งสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่น่าจะเข้าข่ายต้องเสียภาษีความเค็มนี้ คือ อาหารปรุงสำเร็จ อาหารแช่แข็ง อาหารกระป๋องอาหารกึ่งสำเร็จรูป ผงชูรส และซอสปรุงรส เป็นต้น
หากมีการผลักดันจนสามารถบังคับใช้ภาษีความเค็มได้จริง เชื่อได้ว่าจะเป็นผลดีต่อส่วนรวมเป็นอย่างมาก ในแง่ผลดีต่อประเทศ คือ รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจัดเก็บภาษีดังกล่าว และรายจ่ายทางด้านสาธารณสุขของประเทศลดลง เนื่องจากประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น ส่วนผลดีต่อประชาชน คือ มีสุขภาพที่ดีขึ้น เนื่องจากได้บริโภคอาหารที่มีการควบคุมได้มาตรฐาน และภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพลดลง
การบังคับใช้ภาษีความเค็ม เชื่อว่าผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากอาจจะไม่ได้มีผลบังคับใช้โดยทันที แต่จะมีการกำหนดมีระยะเวลาบังคับใช้อีกครั้ง โดยอาจจะมีการกำหนดแนวทางเพื่อให้ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการได้ปรับตัว และให้เวลาได้ปรับปรุงสูตรของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ เพื่อลดปริมาณของโซเดียมหรือปริมาณของความเค็มของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของตน ให้สอดรับกับข้อกำหนดของภาษีความเค็มดังกล่าว ซึ่งการปรับปรุงสูตรนี้ไม่น่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาก จนถึงขนาดต้องปรับขึ้นราคาสินค้าแต่อย่างใด
ในส่วนของประชาชนคงไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีความเค็ม มีแต่จะได้รับผลดีจากการบริโภคสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ปรับปรุงสูตรแล้วด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี