พลังงานไฟฟ้าถือเป็นโครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ อันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ ประชาชนจะได้รับผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิต หากไฟฟ้าดับ หรือไม่มีไฟฟ้าใช้ รวมทั้งต้องรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น หากค่าไฟฟ้าสูงเกินความเป็นจริง
ความสำคัญของสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
มาตรา 56 บัญญัติว่า “รัฐต้องจัดหรือดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึงตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน
โครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ รัฐจะกระทำด้วยประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนหรือทำให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ดมิได้
การจัดหรือดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองรัฐต้องดูแลมิให้มีการเรียกเก็บค่าบริการจนเป็นภาระแก่ประชาชนเกินสมควร
การนำสาธารณูปโภคของรัฐไปให้เอกชนดำเนินการทางธุรกิจไม่ว่าด้วยประการใดๆ รัฐต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนอย่างเป็นธรรม โดยคำนึงถึงการลงทุนของรัฐ ประโยชน์ที่รัฐและเอกชนจะได้รับและค่าบริการที่จะเรียกเก็บจากประชาชนประกอบกัน”
เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ต้องการให้รัฐ เป็นผู้ควบคุมกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน หรือเพื่อความมั่นคงของรัฐจึงบังคับให้รัฐต้องเป็นเจ้าของในกิจการนั้นไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 51 กิจการไฟฟ้าจึงต้องตกอยู่ภายใต้บทบังคับของรัฐธรรมนูญนี้เช่นกัน
กระทรวงพลังงานซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม
แต่ในความเป็นจริง ปัจจุบันประเทศไทย มีกำลังการผลิตไฟฟ้าดังนี้
การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) 32%
ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ 31%
ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก 18%
ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก 8%
นำเข้าและแลกเปลี่ยน 11%
ข้อมูลนี้แสดงว่า รัฐสามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียง 32% ส่วนที่เหลืออีก 68% เป็นการผลิตโดยภาคเอกชน และนำเข้าจากต่างประเทศ การจำหน่ายไฟฟ้าจะต้องผ่าน ระบบและสายไฟฟ้าของการไฟฟ้า ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ
จึงถือว่า รัฐผลิตไฟฟ้าเองได้น้อยกว่ามาตรฐานขั้นต่ำที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า ต้องไม่ต่ำกว่า 51% (น้อยกว่าที่กำหนดไว้ถึง 19%)
การเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้านั้น ถึงแม้ว่าจะมีส่วนที่ดีอยู่พอสมควรแต่ไม่ควรให้สัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าเกินกว่าร้อยละ 49%มิฉะนั้นแล้ว อาจถูกครหาว่ากิจการที่สำคัญของประเทศ ถูกแปรสภาพโดยทางอ้อมไปแล้ว
กิจการที่เกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า นั้น ถือได้ว่าเป็นโครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ รัฐจะกระทำด้วยประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนหรือทำให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละ 51 มิได้
ด้วยเหตุดังกล่าว อาจารย์สุทธิพร ปทุมเทวาภิบาล อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญว่า
กรณีที่กระทรวงพลังงานกำหนดยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงาน (พ.ศ. 2559-2563) และแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย หรือ PDP พ.ศ. 2561-2580 ซึ่งเป็นผลทำให้สัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าของรัฐลดลงต่ำกว่าร้อยละ 51นั้น เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาแล้วเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา
ศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำความเห็นตามประเด็นที่ศาลกำหนดและให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจัดส่งสำเนาเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ
ศาลรัฐธรรมนูญมีระยะเวลาในการวินิจฉัยคดีดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561มาตรา 45
ต้องติดตามกันต่อไปว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง และจะมีการกำหนดแนวทางการดำเนินการต่อไปอย่างไรหรือไม่
ที่ผ่านมาทางภาคประชาชนไม่สามารถล้วงลึกในเรื่องดังกล่าวได้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้จะเป็นความหวังของภาคประชาชน ที่อยากจะได้ความกระจ่างชัดและอยากเห็นแนวทางหรือทิศทางในการแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงได้อย่างจริงจัง และถูกต้องตรงจุดมากที่สุด
คงจะไม่มีใครปฏิเสธได้อย่างแน่ชัดว่า ยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงาน (พ.ศ. 2559 -2563) และแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย หรือ PDP พ.ศ. 2561-2580 ดังกล่าว ไม่ได้มีผลต่อการกำหนดค่าไฟฟ้าที่ประชาชนจะต้องจ่ายในปัจจุบัน และในอนาคต
ส่วนแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย หรือ PDP พ.ศ. 2565-2580 ฉบับใหม่ ที่อยู่ระหว่างการจัดทำโดยกระทรวงพลังงาน นั้น ต้องรอดูกันว่าจะเป็นอย่างไร
แต่หวังว่ากระทรวงพลังงานจะชะลอเรื่องไว้ก่อน เพื่อรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นำมาเป็นแนวทางในการดำเนินการต่างๆ ให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
นอกเหนือจากประเด็นที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว ยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่ากัน ที่จะต้องมีการพิจารณากันอย่างรอบคอบ และที่สำคัญควรจะเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย
สิ่งที่ประชาชนคาดหวังจากรัฐในเรื่องไฟฟ้ามากที่สุด คือ อัตราค่าไฟฟ้าที่เหมาะสมกับค่าครองชีพ ไม่แพงจนเกินไป และการมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอตลอดไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี