nn การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ (Asia-PacificEconomic Cooperation : APEC)...ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 16-19 พฤศจิกายน 2565 แม้ว่าจะไม่ใช่เวทีที่กรอบข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมายก็ตามแต่ก็เป็นอีกเวทีความร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นทางเศรษฐกิจ ให้สมาชิกจาก 21 เขตเศรษฐกิจที่มีแนวนโยบายที่แตกต่างกันหาแนวทางร่วมกันได้ ที่สำคัญควรตระหนักว่า APEC ถือเป็นความร่วมมือพหุภาคีที่สำคัญของโลก เพราะมีขนาดเศรษฐกิจของ 21 สมาชิก รวมกันสูงถึง 61% ของทั้งโลกและจำนวนประชากรที่คิดเป็นสัดส่วนถึงกว่า1 ใน 3 ของพลเมืองทั้งโลก
ชาติสมาชิก ที่ประกอบไปด้วย รัสเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีนไทเป(ไต้หวัน) เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน ปาปัวนิวกินี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก เปรู และ ชิลี ต้องถือว่าเขตเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูง มีวัยแรงงานอยู่ถึง 63%
ข้อมูลของ World Bank ในปี 2564 พบว่ามูลค่า GDP ของสมาชิก APEC เท่ากับ 59.4 ล้านล้านดอลลาร์ รวมกันคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 61% ของ GDP ในจำนวนนี้ 3 ชาติสมาชิกหลักของ APEC ถือเป็นประเทศที่มีขนาดทางเศรษฐกิจใหญ่ 3 ลำดับแรกของโลก ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น ส่วนไทยมีขนาดทางเศรษฐกิจอยู่ในลำดับที่ 11 (GDP เท่ากับ 0.5 ล้านล้านดอลลาร์) รองจากไต้หวัน (0.7 ล้านล้านดอลลาร์) และเมื่อเทียบในกลุ่มอาเซียนถือเป็นลำดับที่ 2 รองจากอินโดนีเซีย (1.2 ล้านล้านดอลลาร์) ทางด้านประชากร APEC มีพลเมืองในปี 2564 รวมกันทั้งสิ้น 2.9 พันล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 37% ของทั้งโลก ซึ่งในจำนวนนี้มี 3 ชาติสมาชิกสำคัญที่จำนวนพลเมืองอยู่ใน 5 ลำดับแรกของโลก ได้แก่ จีน (อันดับ 1) สหรัฐฯ (อันดับ 3) และอินโดนีเซีย (อันดับ 4) ส่วนไทยอยู่ในลำดับที่ 9 ของกลุ่ม APEC และถือเป็นลำดับที่ 4 ของกลุ่มอาเซียนที่เป็นสมาชิก APEC
การที่ไทยได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งนี้ (ครั้งที่ 2) ซึ่งนอกจากเวทีการประชุมของผู้นำระดับสูงแล้ว ก็ยังมีเวทีคู่ขนานอีกหลายเวที อาทิ การประชุม APEC CEO Summit ซึ่งก็มีคำถามสำคัญว่า ไทยจะได้อะไรจากการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้บ้าง คำตอบคือแน่นอนว่าคงไม่มีลงนามในข้อตกลงใดที่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย แต่สิ่งที่ไทยจะได้คือ 1.โอกาสที่ไทยจะแสดงศักยภาพของไทยออกไปสู่สายตาชาวโลกและบรรดาผู้นำของประเทศมหาอำนาจของโลก และบรรดาผู้นำองค์กรธุรกิจยักษ์ใหญ่ระดับโลก ว่าไทยมีศักยภาพมากพอที่จะจัดอีเว้นท์ใหญ่ระดับโลกขนาดนี้ได้2.เป็นโอกาสที่ไทยจะได้แสดงบทบาทผู้นำในการผลักดันให้ APEC เป็นเวทีที่ผลักดันให้เกิดข้อตกลงทางการค้าที่มีผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น 1.การเปิดโอกาสด้านการค้าเสรีและการลงทุนผ่านเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of Asia-Pacific: FTAAP) 2.การจัดตั้งกลไก APECSafePassage เพื่อส่งเสริมการเดินทาง
ที่สะดวกและปลอดภัยระหว่างกลุ่มสมาชิก ซึ่งจะช่วยผลักดันการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว3.การส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ยั่งยืน โดยสนับสนุนภาคธุรกิจและยกระดับวิสาหกิจ MSME
ข้อที่ 3 ที่ไทยจะจากการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้คือการเรียนรู้และรับรู้ข้อมูล เทรนด์ของธุรกิจของโลกจะไปทางไหน ผู้นำธุรกิจใหญ่ระดับโลกเขาคิดอย่างไรจากเวที APEC CEO Summit ข้อ 4.ไทยจะมีโชว์ศักยภาพและความพร้อมของไทยที่จะดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมอนาคต และเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย อันได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG) ข้อที่ 5เป็นโอกาสสำคัญที่จะได้โชว์ “ซอฟต์ พาวเวอร์ (Soft Power)” ต่อสายตาชาวโลก ซึ่งไทยมีอยู่มากมายและหลากหลายมิติ ทั้ง อาหาร ศิลปวัฒนธรรม ที่สำคัญที่สุดคือ Service Mind และความเป็นมิตรของคนไทย ฯลฯ
ต้องย้ำว่าเศรษฐกิจไทยนั้นพึ่งพาภาคการค้าระหว่างประเทศสูงมาก (ส่งออก-ท่องเที่ยว) ที่สำคัญ 2 ใน 3 ของคู่ค้าของไทยทั้งภาคส่งออกและการท่องเที่ยว เป็นสมาชิกของ APEC จึงต้องบอกว่าหากไทยสามารถผลักดัน FTAAP ให้มีความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรมได้ จะส่งผลให้เกิดเขตการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และจะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองกับประเทศนอกกลุ่ม APEC นอกจากนี้จากการเปิดเสรีทางการค้าในกรอบ FTAAP เทียบกับกรอบอื่นๆ แล้ว FTAAP จะช่วยให้ GDP ของโลกเพิ่มขึ้นได้มากกว่ากรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership : CPTPP) และกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP)
จากข้อมูลที่ได้จากการศึกษาของ World Bank ประเมินว่า FTAAP จะช่วยให้การส่งออกและขนาดเศรษฐกิจของไทย (GDP) ของไทยเติบโตไปประมาณ 4.1% จากปัจจุบัน และ FTAAP จะเป็นกลไกสำคัญในการขจัดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ และหนุนการเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานในหมู่สมาชิก ประกอบกับความพยายามจัดตั้ง FTAAP ในกรอบพหุภาคีจะช่วยลดการเผชิญหน้าและช่วยผ่อนคลายข้อขัดแย้งของชาติมหาอำนาจได้ในอนาคต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อไทยในระยะยาว
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี